หน้าแรกTrade insightข้าว > แนวโน้มความต้องการและราคาน้ำมันเพื่อการบริโภคในแอฟริกาตะวันออก สูงขึ้นอีก ในปี 2567 (น้ำมันปาล์มและน้ำมันดอกทานตะวัน) โอกาสสำหรับน้ำมันเพื่อการบริโภคจากไทยแย่งส่วนแบ่งตลาด

แนวโน้มความต้องการและราคาน้ำมันเพื่อการบริโภคในแอฟริกาตะวันออก สูงขึ้นอีก ในปี 2567 (น้ำมันปาล์มและน้ำมันดอกทานตะวัน) โอกาสสำหรับน้ำมันเพื่อการบริโภคจากไทยแย่งส่วนแบ่งตลาด

การขาดแคลนเมล็ดทานตะวันคุณภาพสูง และต้นทุนการนำเข้าน้ำมันปาล์มที่สูงขึ้น ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก อาจทำให้ราคาน้ำมันเพื่อการบริโภคปรับตัวสูงขึ้นอีกในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ในปี พ.ศ. 2567 โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเพื่อการบริโภคยังมีราคาสูงและมีแนวโน้มที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก

 

ตัวแทนภาคการค้าน้ำมันเพื่อการบริโภคให้ความเห็นว่า เหตุผลหลักๆ ที่ราคาของน้ำมันเพื่อการบริโภค (ปาล์มน้ำมันและเมล็ดจากทานตะวัน) ในแอฟริกาตะวันออกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 30-35% ในปี 2566 นั้น ได้แก่ การแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค (ทั้งเคนยาชิลลิ่งและแทนซาเนียชิลลิ่ง) สงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย และสงครามอิสราเอลในฉนวนกาซา นำมาซึ่งการหยุดชะงักของอุปทานการผลิต จนส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันปาล์ม อีกทั้งยังมีความกังวลเรื่องข้อจำกัดของการขนส่งสินค้าที่มีสาเหตุจากการสู้รบและความขัดแย้งในตะวันออกกลางหรือทะเลแดงที่มีในปัจจุบัน จนนำมาซึ่งต้นทุนการผลิตที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต

 

ประเทศแทนซาเนีย มีความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มในการเพิ่มโอกาสให้ผู้ค้าผู้นำเข้าที่จะเข้ามาเจาะตลาดของแทนชาเนียไปจนถึง ปี พ.ศ. 2572 โดยเมล็ดทานตะวันคุณภาพในแทนซาเนียมีจำกัดจึงมีการคาดการณ์ว่า ราคาน่าจะสูงขึ้น ส่วนทางประเทศเคนยานั้น ตามความเห็นของสมาคมผู้ผลิตแห่ง

 

เคนยา (Kenya Association of Manufacturers (KAM)) ตั้งข้อสังเกตว่า การปลูกต้นปาล์มตามที่เคนยาเคยเสนอให้รัฐบาลเคนยาพิจารณาไปนั้น น่าจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาน้ำมันเพื่อการบริโภคในระยะยาวได้ต้องมีการวางแผนระยาวในการปลูกต้นปาล์มในเคนยา และความช่วยเหลือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากประเทศอินโดนีเซียหรือประเทศผู้ผลิตปาล์มประเทศอื่นๆ (เช่น มาเลเชียและไทย) เนื่องจากอาจต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี กว่าที่ต้นปาล์มจะสามารถนำมาผลิตน้ำมันได้  ด้วยว่าต้นปาล์มยังคงเป็นพืชที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในแง่ของการผลิตน้ำมันต่อหน่วยพื้นที่เพาะปลูก (ปาล์มน้ำมันหนึ่งเฮกตาร์สามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้สูงกว่าเมล็ดพืชน้ำมันอื่นๆ ถึง 10 เท่า)

 

ในอีกด้านหนึ่ง เกษตรกรผู้เพาะปลูกทานตะวันในประเทศแทนซาเนีย ก็กำลังประสบปัญหาความล่าช้าในการจัดหาเมล็ดพันธ์เพื่อใช้ในฤดูเพาะปลูก ซึ่งดูเหมือนว่าอุปทานการผลิตของแทนซาเนียเรื่องการผลิตเมล็ดดอกทานตะวันจะลดลงในปีนี้ ทั้งนี้ แทนซาเนียถือเป็นประเทศที่ผลิตเมล็ดทานตะวันรายใหญ่อันดับที่ 16 ของโลก และเป็นผู้ผลิตที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคแอฟริกา รองจากแอฟริกาใต้ นอกจากนั้น เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นพืชที่มีการนำเข้ามาใข้ในการผลิตน้ำมันเพื่อการบริโภค คิดเป็นร้อยละ 35 ของการผลิตเมล็ดพืชน้ำมันเพื่อการบริโภคทั้งหมดในแทนซาเนีย

 

สถิติการนำเข้าน้ำมันปาล์มของเคนยา ปี 2023 (ม.ค.-พ.ย. 2566)

Products: 1511 (Palm Oil And Its Fractions, Whether Or Not Refined, But Not Chemically Modified)
Value: Year To Date through November 2023 (January 2023 to November 2023)
Rank Trade Partner United States Dollars % Share (+/-)%  
2021 2022 2023 2021 2022 2023  
  World 874,840,786 1,009,319,240 789,688,797 100.00 100.00 100.00 -21.76  
1 Malaysia 521,738,876 797,538,463 573,177,398 59.64 79.02 72.58 -28.13  
2 Indonesia 310,931,628 81,229,629 152,505,416 35.54 8.05 19.31 87.75  
3 Singapore 8,294,850 32,573,467 24,319,541 0.95 3.23 3.08 -25.34  
4 Cote d Ivoire   66,965,915 19,122,954   6.63 2.42 -71.44  
5 Thailand 30,749,361 13,286,428 18,447,858 3.51 1.32 2.34 38.85  
6 USA 114 3,979,182 1,897,798 0.00 0.39 0.24 -52.31  
7 South Africa 120,727 125,919 162,356 0.01 0.01 0.02 28.94  
8 UAE   624,712 30,098   0.06 0.00 -95.18  
9 France   1,803 25,060   0.00 0.00 1289.80  
10 Ghana     310     0.00    

ที่มา     Kenya National Bureau of Statistics, GTA

 

การผลิตน้ำมันและไขมันเพื่อการบริโภคในประเทศเคนยานั้น สามารถทำได้เพียงร้อยละ 34 จากความต้องการทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ เคนยาจึงยังคงเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันพืชมากที่สุดประเทศหนึ่งในแอฟริกา (ปัจจุบันเป็นลำดับที่ 3) โดยการจัดหาวัตถุในการผลิตน้ำมันพืชของเคนยามากกว่าร้อยละ 90 มาการนำเข้าน้ำมันดิบจากแหล่งต่างประเทศปีละประมาณถึงกว่า 789.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (2023) ซึ่งแม้ว่าประเทศเคนยาจะมีกำลังการผลิตน้ำมันชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันมะพร้าวเหล่านี้อยู่บ้างก็ตาม ทั้งนี้ เคนยามีการนำเข้าน้ำมันที่ใช้บริโภคสำเร็จรูปมาใช้ในประเทศคิดเป็นมูลค่าการนำเข้ามากกว่า 1.07 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหลายช่วงระยะเวลาในอตีดเคยมีการนำเข้าแบบปลอดภาษีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้บริโภคจากราคาน้ำมันเพื่อการบริโภคที่สูงขึ้น ในปีที่ผ่านมาเคนยานำเข้าน้ำมันปาล์มส่วนใหญ่จาก มาเลเซีย เป็นอันดับ 1 อินโดนีเชีย อันดับ 2 และไทยเป็นลำดับที่ 5 ตามลำดับ

 

ความเห็นของ สคต.

 

การที่ภาคการผลิตทั้งของเคนยาและแทนซาเนียยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการใช้ น้ำมันเพื่อการบริโภคได้นั้น ถือเป็นโอกาสทางการค้าและการลงทุนในเรื่องดังกล่าว โดยสำหรับประเทศไทย ที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มได้เป็นลำดับที่ 3 ของโลก รองจาก อินโดนีเชียและมาเลเชีย และยังสามารถผลิตน้ำมันจากรำข้าว ได้ด้วย โอกาสที่ยังมีความต้องสินค้าประเภทนี้ในตลาดแอฟริกาตะวันออกในเคนยาและแทนซาเนียดังกล่าวข้างต้น ต่างเป็นโอกาสที่ไทยควรหันมามองทั้งเรื่องการส่งออก การลงทุนปลูกปาล์มน้ำมัน เพื่อเข้ามาเติมเต็มความต้องการของตลาดที่น่าจะยังมีอีกมากอย่างน้อย 7-10 ปีต่อจากนี้

 

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเรื่องต้นทุนการผลิตของไทย ที่สูงกว่าประเทศอื่น การที่ไทยอาจมองการเข้ามาลงทุนในเรื่องนี้ ทั้งการปลูกปาล์มน้ำมัน หรือ การแปรรูปเป็นสินค้าอื่นๆ นั้น น่าจะเป็นทางเลือกที่มีเหมาะสมมากกว่า ซึ่ง สคต. มีความเชื่อว่า ยังไม่สายที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นผู้เล่นหนึ่งในตลาดน้ำมันเพื่อการบริโภคดังกล่าว โดยในปัจจุบัน ประเทศอินโดนีเชีย เริ่มมีการเข้ามาร่วมทุนและลงทุนในเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการเยือนของ รมต. ต่างประเทศของอินโดนีเชียที่มีการเยือนมายังเคนยาเป็นประจำเกือบทุกปี จึงเป็นเรื่องที่ไทยควรพิจารณาดำเนินการบ้างไม่มากก็น้อยในอนาคต

 

อีกประการหนึ่ง สคต. เห็นว่า แม้จะมีความเสี่ยงในหลายด้านเพิ่มขึ้นในการลงทุนในแอฟริกา แต่เราจะปฎิเสธไม่ได้ว่า ความน่าสนใจในด้านความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรของแอฟริกา และจำนวนฐานประชากรจำนวนมาก ตลอดจนการจัดตั้งเขตการค้าเสรีของประเทศในแอฟริกาที่เรียกว่า AFCFTA ในปี 2021 ที่ผ่านมานั้น ต่างทำให้แอฟริกายังเป็นภูมิภาคที่มีความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนต่อไปในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยเองควรเร่งทำการศึกษาข้อมูลและหาโอกาสในด้านที่ไทยเองมีความเชียวชาญและสามารถเข้ามาลงทุนได้ เช่น อุตสาหกรรมเกษตร การท่องเที่ยว ร้านอาหารไทย ร้านสปา เป็นต้น ซึ่งทำให้ไทยควรเร่งเจรจาการค้า หรือ FTA กับประเทศในแอฟริกาให้เร็วยิ่งขึ้นต่อไป เพราะนอกจากจะทำให้ไทยได้รับประโยชน์ทางด้านการค้าแล้ว ความมั่นใจในด้านการลงทุนก็เป็นเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐของไทยควรให้ความสำคัญในการเจรจา FTA ในอนาคตอันใกล้ และในส่วนของผู้ประกอบการก็ควรหาข้อมูล และมองหาโอกาสเข้ามาลงทุนในแอฟริกาโดยเร็วต่อไป ไม่เช่นนั้น แล้วหากเราช้าเกินไปโอกาสทางการค้าระหว่างไทยกับแอฟริกาก็จะยิ่งทำได้ยากขึ้น และมีต้นทุนสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ผู้ส่งออกที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ E-mail: ของสำนักงานฯ ที่ info@ocanairobi.co.ke

 

ที่มา : The EastAfrican

อ่านข่าวฉบับเต็ม : แนวโน้มความต้องการและราคาน้ำมันเพื่อการบริโภคในแอฟริกาตะวันออก สูงขึ้นอีก ในปี 2567 (น้ำมันปาล์มและน้ำมันดอกทานตะวัน) โอกาสสำหรับน้ำมันเพื่อการบริโภคจากไทยแย่งส่วนแบ่งตลาด

Login