บริษัท Volkswagen (VW) ร่วมงานกับ Platform ของ Xpeng ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ในจีนทำการบุกตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) โดยในการประชุมคณะกรรมการ VW เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบกับแผนว่า “VW และ Xpeng จะพัฒนารถ EV ระดับกลาง 2 รุ่น ร่วมกันโดยจะจัดจำหน่ายรถยนต์ดังกล่าวเฉพาะในตลาดจีนเท่านั้น ภายในปี 2026 ซึ่งในการประชุมดังกล่าวคณะกรรมการฯ ยังได้ลงความเห็นว่าจะยินยอมให้รถยี่ห้อ Audi สามารถที่จะร่วมงานกับ SAIC ผู้ผลิตชาวจีนอีกรายด้วย” ซึ่งได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MoU – Memorandum of Understanding) ระหว่างบริษัทรถยนต์ทั้ง 2 ค่าย ขึ้นมาเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานร่วมกันในอนาคต โดย Audi วางแผนที่จะบุกตลาดรถรุ่นที่บริษัทฯ ยังไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งวงในตีแผ่ว่า น่าจะเป็นรถ EV ในรุ่นเดียวกับ A3 และ A4 ในขณะที่ค่าย VW นั้น แตกต่างออกไปและดันวางแผนการดำเนินธุรกิจผิด จึงทำให้ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะในตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ VW ไม่สามารถที่จะแข่งขันกับคู่แข่ง (Tesla จากสหรัฐอเมริกา) ในตลาดจีนได้ และจากข้อมูลการประกันรถยนต์แสดงให้เห็นว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกมีรถ EV ของ VW เพียง 38,000 คันเท่านั้น ที่ได้รับใบอนุญาต ในขณะที่ที่รถยนต์ค่ายคู่แข่งอย่าง BYD สามารถจำหน่ายรถ EV ในช่วงเวลาเดียวกันได้มากถึงครึ่งล้านคัน”
สำหรับบทเรียนราคาแพงของ VW ในการทำธุรกิจด้านรถ EV ในจีนนั้น VW ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษ โดยได้ลงทุนกว่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับบริษัท Xpeng (หรือเข้าไปถือหุ้น 5% ของบริษัท) และมีตัวแทนจาก VW ไปนั่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของบริษัท Xpeng ที่พึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2014 เป้าหมายสำคัญในการร่วมทุนครั้งนี้ คือ ต้องการขยาย Portfolio รถ EV ในท้องถิ่นของบริษัทออกไป ด้านนาย Ralf Brandstätter ผู้บริหาร VW ในจีนเปิดเผยว่า “การร่วมงานกับ Xpeng ทำให้ VW ได้พันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่เข้มแข็งจากจีนมากขึ้น” ซึ่งก่อนหน้านี้นาย Brandstätter ได้เข้าพบนาย He Xiaopen ผู้ก่อตั้งบริษัท Xpeng หลายครั้ง ซึ่งนาย Xiaopen ได้ส่งสัญญาณว่า ต้องการที่จะร่วมงานกับ VW ระยะยาว โดยตั้งเป้าที่จะร่วมกันพัฒนารถ EV รุ่นใหม่ ในศูนย์พัฒนารถยนต์ของ VW ที่ตั้งอยู่ในเมืองท่า Hefei (ภาคใต้ของจีน) และทีมพัฒนาของทั้ง 2 บริษัท จะทำงานร่วมกัน และรถ EV รุ่นใหม่ที่ได้นี้ จะใช้โลโก้ของ VW โดย Xpeng จะเป็นแกนหลักในสนับสนุนด้านระบบ Software เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และครอลคลุมถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและระบบผู้ช่วยแบบชาญฉลาดผ่านการสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งนาย Xiaopen กล่าวว่า “ทักษะ…เราสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ โดยเฉพาะทักษะการออกแบบและการพัฒนาในด้านต่าง ๆ และนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งขึ้นมา Xpeng ได้พัฒนา Platform อิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์สำหรับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (ADAS – Advanced Driver Assistance Systems) มาโดยตลอด”
นอกจากนี้ VW ยังได้กล่าวว่า “Xpeng เป็น Start Up น้องใหม่ไฟแรง ที่จะได้ประโยชน์จาก VW เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Economies of Scale (ที่ได้จากการผลิตสินค้าคราวละจำนวนมาก จนทำให้ได้เปรียบด้านต้นทุนจากการที่ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง) หรือการซื้อสินค้าชิ้นส่วนร่วมกัน” ซึ่งในปีที่ผ่านมา VW จำหน่ายรถยนต์ในจีนได้ทั้งสิ้น 2.2 ล้านคัน ในขณะที่ Xpeng สามารถจำหน่ายได้ 120,000 คันเท่านั้น นาย Ferdinand Dudenhöffer ผู้อำนวยการสถาบัน Center Automotive Research (CAR) กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) และเห็นว่าความร่วมมือระหว่าง Xpeng และ VW ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรป รวมถึงความร่วมมือระหว่าง Audi และ SAIC ได้สะท้อนให้เห็นว่า รถยนต์แห่งอนาคตจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ผลิตรถยนต์จากจีน”
Handelsblatt 14 สิงหาคม 2566
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน (Thanit Hirungitrungsri)
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)