สินิตย์ เผย ไทยขึ้นแท่นผู้ส่งออกสินค้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ของเอเชีย ปี 2565 ส่งออกไปตลาดคู่ FTA เงินสะพัดกว่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 15.9% สัดส่วนสูงถึง 70% ตลาดญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย มาแรง คู่ FTA 10 ประเทศ ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ส่วน RCEP ทยอยลดภาษีเพิ่ม ชี้สินค้าไทยสุดฮอต FTA ช่วยหนุนส่งออกขยายตัว พร้อมเดินหน้าผลักดันเปิดตลาดสินค้าไก่ให้ไทยเพิ่มเติม
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ติดตามสถานการณ์การส่งออกของไทย พบว่า เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าดาวเด่นที่มีศักยภาพทั้งการผลิตและส่งออก โดยปัจจุบันไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับ 1 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากบราซิลและสหรัฐอเมริกา
- ประกาศใหม่ ผลประโยชน์ตอบแทนบำเหน็จชราภาพ ผู้ประกันตน ม.33,39
- ทำความรู้จักบัตรวิสดอมกสิกรไทย ต้องรวยแค่ไหนถึงถือบัตรได้
- เปิดวิธีลงทะเบียน เลือกตั้งล่วงหน้า 2566 มีขั้นตอนอย่างไร ?
ซึ่งในปี 2565 ไทยส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดโลก มูลค่าสูงถึง 4,074 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกไปตลาดที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) มูลค่า 2,871.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 15.9% มีสัดส่วนถึง 70% ของการส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
สำหรับตลาดคู่ FTA ที่ไทยส่งออกเติบโตได้ดี อาทิ
- ญี่ปุ่น มูลค่า 1,882.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.2%
- จีน มูลค่า 382.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.1%
- มาเลเซีย มูลค่า 165.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 83.4%
- สิงคโปร์ มูลค่า 127.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 37.6%
- เกาหลีใต้ มูลค่า 183.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 40%
- กัมพูชา มูลค่า 17.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.3%
นายสินิตย์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้สินค้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ไทยเป็นที่นิยม เนื่องจากได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพมาตรฐาน เทคโนโลยีการผลิตอาหารและแปรรูปที่ทันสมัย มีระบบฟาร์มที่มีประสิทธิภาพ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้ง FTA ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สร้างความได้เปรียบและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ทำให้การส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน 10 ประเทศคู่ FTA ได้แก่ อาเซียน 5 ประเทศ (สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา อินโดนีเซีย และบรูไนฯ) จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และฮ่องกง ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ ทั้งไก่สดทั้งตัวแช่เย็น แช่แข็ง ไก่ชิ้นเนื้อแช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูป
ส่วนอีก 8 ประเทศ คือ อาเซียน 4 ประเทศ (กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ สปป.ลาว) ยังคงเก็บภาษีนำเข้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์บางรายการ อัตรา 5% ญี่ปุ่น เก็บภาษีไก่สดทั้งตัวแช่เย็น แช่แข็ง ไก่ชิ้นเนื้อแช่เย็น แช่แข็ง อัตรา 8.5% และไก่แปรรูป อัตรา 3%
เกาหลีใต้ เก็บภาษีเนื้อไก่ต๊อก อัตรา 14.4% อินเดีย เก็บภาษีไก่สดทั้งตัวแช่เย็น แช่แข็ง และไก่ชิ้นเนื้อแช่เย็น แช่แข็ง อัตรา 30-100% และเปรู เก็บภาษีไก่สดทั้งตัวแช่เย็น แช่แข็ง และไก่ชิ้นเนื้อแช่เย็น แช่แข็ง อัตรา 17-20%
นอกจากนี้ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ไทยยังได้รับการลดภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในสินค้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ อาทิ กัมพูชา ทยอยลดภาษีไก่แปรรูปเหลือศูนย์ ในปี 2579 และไก่สดทั้งตัวแช่เย็น แช่แข็ง ไก่ชิ้นเนื้อแช่เย็น แช่แข็ง ในปี 2584 เวียดนาม ทยอยลดภาษีไก่สดทั้งตัวแช่เย็น แช่แข็ง ไก่ชิ้นเนื้อแช่เย็น แช่แข็ง และไก่แปรรูปเหลือศูนย์ ในปี 2579 และเกาหลีใต้ ลดภาษีเนื้อไก่ต๊อกเหลือศูนย์ ในปี 2579
“กระทรวงพาณิชย์มุ่งเดินหน้าผลักดันให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดสินค้าไก่ให้ไทยเพิ่มเติม ผ่านการทบทวน FTA ที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสรุปผล FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจา และการเปิดเจรจา FTA ฉบับใหม่ๆ อาทิ สมาคมการค้าเสรียุโรป สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าของไทยในตลาดโลกอย่างยั่งยืน” นายสินิตย์กล่าว
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ