ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา อินเดียมีทารกแรกเกิดปีละไม่ต่ำว่า 20 ล้านคน สะท้อนถึงความต้องการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับแม่และเด็กทารกที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของทุกปี ข้อมูลจากสมาคมวิชาชีพพยาบาลแห่งอินเดีย (Trained Nurses’ Association of India) ระบุว่าการตั้งท้องจะมีสูงในช่วงปลายปีของทุกปี สืบจากพฤติกรรมการแต่งงานจะจัดกันตั้งแต่ปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูร้อน กล่าวคือประมาณเดือนกันยายน – มีนาคม และหลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน มักจะมี การตั้งท้องคนแรกตามมา ดังนั้น สถิติของ Health Management Information System ของรัฐบาลอินเดียที่พบว่าใน 4 เดือนสุดท้ายของปีปฏิทินจะมีการตั้งท้องมากที่สุดคือประมาณ 40% จำนวนทารกทั้งหมด และลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นในรัฐต่างๆของอินเดียอย่างคล้ายคลึงกัน
การศึกษาตลาดในสินค้าแม่และทารกโดย Technavio บ่งชี้ว่าขนาดของตลาดในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 26.35 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2563 – 2568 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยประมาณ 11% ต่อปี สอดคล้องกับ Expert Market Research Group คาดการณ์ว่าตลาดในช่วงปี 2564 – 2569 จะขยายตัวเฉลี่ย 14.8% ต่อปี ในขณะที่ Data Bridge Market Research คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเฉลี่ยถึง 17.4% ต่อปี และในปี 2572 ตลาดสินค้าสำหรับทารกในอินเดียมีมูลค่าประมาณ 39.54 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสินค้ากลุ่มแรกที่น่าสนใจคือตู้อบสำหรับทารกที่เกิดก่อนกำหนด โดยในปี 2563 พบว่ามีทารกที่เกิดก่อนกำหนด (Pre-term Birth) ประมาณ 13.4 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของทารกเกิดใหม่ในอินเดีย นับว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลก ตามด้วยปากีสถาน และไนจีเรีย และในจำนวนนี้ มีเด็กทารกประมาณ 1 ล้านคนที่ต้องเสียชีวิต สินค้าที่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ได้จึงมีโอกาสที่จะเติมเต็มตลาดในอินเดีย
สินค้าในกลุ่มถัดมาคืออาหารสำหรับทารก การสำรวจจากสมาชิกในเฟซบุ๊คของ Breastfeeding Support for Indian Mother (BSIM) จำนวน 950 คน รายงานว่ามีเพียงครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้นที่ให้นมจากตนเอง แม่ลูกอ่อนในอินเดียจำนวนมากเลือกจึงให้นมลูกโดยการใช้นมสังเคราะห์ (Artificial Baby Milk) ซึ่งผลิตโดยบริษัทต่างชาติหลายรายที่เข้าไปลงทุนในอินเดีย ด้วยระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล และมีการวิจัยและพัฒนา
สำหรับสินค้าที่ SMEs มีส่วนเข้าไปแข่งขันได้คือสินค้าประเภทของใช้ อาทิ กระดาษชำระ ผ้าอ้อม ยาสระผม และ เสื้อผ้า สำหรับแม่และทารกอายุ 6 เดือน – 3 ปี ซึ่งในปัจจุบันมี Jonnson & Johnson ครองตลาดในด้านผลิตภัณฑ์สำหรับผมและผิว Kimberly Clark (Huggies) และ P&G (Pampers) ในสินค้ากลุ่มผ้าอ้อมและกระดาษชำระ ในขณะที่ เสื้อผ้าของทารกและเด็กเล็กมีผู้ผลิตรายเล็กและรายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ โดยแนวโน้มหรือเทรนด์คือการใช้เสื้อผ้าที่เป็นธรรมชาติและไม่มีสารเคมีเจือปนในกระบวนการ โดยผ่านการทดสอบที่น่าเชื่อถือมาแล้ว
ทั้งนี้ มีผู้ผลิตในอินเดียเองเริ่มก้าวเข้ามาเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้นเป็นลำดับ อาทิ Amul, Dabur, Himalaya, Mothercare เป็นต้น ซึ่งแบรนด์เหล่านี้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคอินเดียได้ทางสื่อออนไลน์ และการจำหน่านผ่านตลาดออนไลน์ที่กำลังขยายตัว อาทิ Firstcry และ Babyoye นอกเหนือจากตลาดออนไลน์ทั่วไป ได้แก่ Amazon และ Flipkart ทำให้สินค้าแบรนด์ใหม่ๆ สามารถเจาะตลาดระดับบนได้ ยกตัวอย่างเช่น สินค้านำเข้าจากเยอรมนี ชื่อ Sanosan ที่ขายสินค้าระดับพรีเมียม เน้นส่วนประกอบที่มาจากธรรมชาติ ดูแลผิวและผมของเด็กทารก ปัจจุบัน มีกลุ่มลูกค้าแล้วประมาณ 1 แสนราย ทั้งนี้ Sanosan ใช้วิธีการเข้าตลาดโดยร่วมกับพันธมิตรซึ่งเป็นบริษัทยาในเมืองมุมไบ
นอกจากนี้ แนวทางการเข้าสู่ตลาดของต่างชาติสามารถทำได้โดยการเข้าไปร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพในอินเดีย ยกตัวอย่างเช่น SoftBank ของญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนใน FirstCry และ BabyChakra ที่ได้รับการลงทุนจาก The Good Glamm Group รวมถึง AllThingsBaby และ HunyHuny ซึ่งมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สำหรับแม่และทารก อาทิ อุปกรณ์เคลื่อนย้ายทารกยี่ห้อ Little Charlie และรองเท้าสำหรับทารกยี่ห้อ Oui Oui เป็นต้น
ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น
สินค้าที่ผู้ประกอบการไทยสามารถนำมาทดลองตลาดในอินเดียได้ โดยเฉพาะสำหรับตลาดในกลุ่มบน/พรีเมี่ยม ได้แก่ เบาะที่นอน มุ้ง ถุงนอน ขวดนม และ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ เครื่องนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อโรค (Electric Sterilizer) และเครื่องวัด/ติดตามสุขภาพเด็กทารก รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ และของเล่นที่สร้างทักษะสำหรับเด็กอ่อน โดยควรศึกษารูปแบบและราคาของคู่แข่งในตลาดผ่านตลาดออนไลน์mujเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะทางในด้านแม่และทารก อาทิ MyBabyCart.com, BabysJoy.com, LittleShop.in, NewBabyClothes.com, Hoopos.com และ Bonsaii.in เพื่อวางแผนการผลิตให้มีความแตกต่างและมีราคาที่แข่งขันได้
ส่วนผู้ประกอบการที่มีความพร้อมควรพิจารณาออกไปลงทุนในอินเดียเพื่อทำธุรกิจร้านค้าปลีกในสินค้าในกลุ่มแม่และเด็กทารก โดยรัฐบาลอินเดียเปิดให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ในสัดส่วน 100% สำหรับร้านค้าที่ขายสินค้าแบบแบรนด์เดียว ทั้งนี้ เพื่อจำหน่ายสินค้าในอินเดียได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งขยายสาขาด้วยกลไกแบบแฟรนไชส์ไปสู่เมืองรองที่กำลังเกิดขึ้นหลายแห่ง ซึ่งจะเป็นช่องทางการแนะนำสินค้าใหม่และสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงลดจำนวนผู้ค้าในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งมีส่วนทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงมากเกินไปด้วย
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)