หน้าแรกTrade insightการค้าระหว่างประเทศ > รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะการค้าสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม 2566 – สคต. ชิคาโก

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะการค้าสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม 2566 – สคต. ชิคาโก

  1. อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP Growth)

สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (U.S. Bureau of Economic Analysis) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (U.S. Department of Commerce) รายงานมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติแท้จริง (Real GDP)  ของสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 เท่ากับประมาณการครั้งที่ 3 (Third Estimate) และรายงานประมาณการมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติล่วงหน้าสหรัฐฯ (Advance Estimate) ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4

โดยแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 เป็นผลมาจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคประชาชน การลงทุนระยะยาวไม่ใช่ที่อยู่อาศัย การใช้จ่ายรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น การลงทุนคงคลังภาคเอกชน ในขณะที่การส่งออก การลงทุนระยะยาวสำหรับที่อยู่อาศัย และการนำเข้ากลับชะลอตัวลง

สถิติอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2562 – 2566

ที่มา: Bureau of Economic Analysis, U.S. Department of Commerce

 

  1. อัตราการว่างงาน

สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ประจำเดือนมิถุนายน 2566 (ข้อมูลล่าสุด) ปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 3.6 โดยมีจำนวนผู้ว่างงานในระบบเศรษฐกิจลดลงเหลือ 6.0 ล้านคน โดยในช่วงดังกล่าวมีการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll Employment) เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 209,000 ตำแหน่ง

  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการจ้างงานภาครัฐ 60,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ 41,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมสังคมสงเคราะห์ 24,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมก่อสร้าง 23,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมบริการทางธุรกิจ 21,000 ตำแหน่ง และอุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว 21,000 ตำแหน่ง
  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการค้าปลีก 11,000 ตำแหน่ง และอุตสาหกรรมการขนส่งและคงคลังสินค้า 7,000 ตำแหน่ง
  • ส่วนอุตสาหกรรมเหมืองแร่และขุดเจาะพลังงาน อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมค้าส่ง อุตสาหกรรมสารสนเทศ อุตสาหกรรมการเงิน และอุตสาหกรรมบริการอื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

สถิติอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน

ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor

 

  1. ภาวะเงินเฟ้อ (Consumer Price Index: CPI)

สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนมิถุนายน 2566 (ข้อมูลล่าสุด) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมาเหลือร้อยละ 3.0 ไม่ปรับฤดูกาล (Unadjusted) ซึ่งเป็นระดับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564

โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาราคาสินค้าไม่ปรับฤดูกาล (Unadjusted) กลุ่มอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเฉลี่ยร้อยละ 5.7 ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการอื่นปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.8 ในขณะที่กลุ่มสินค้าพลังงานยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 16.7 รายละเอียด ดังนี้

3.1 กลุ่มสินค้าอาหาร ได้แก่ ซีเรียลและเบเกอรี (+ร้อยละ 8.8) เครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 7.6) ผักและผลไม้สด (+ร้อยละ 3.0) ผลิตภัณฑ์จากนม (+ร้อยละ 2.7) และเนื้อสัตว์และไข่ (-ร้อยละ 0.3)

3.2 กลุ่มสินค้าพลังงาน ได้แก่ ไฟฟ้า (+ร้อยละ 5.4) ก๊าซธรรมชาติ (-ร้อยละ 18.6) และน้ำมันเชื้อเพลิง                       (-ร้อยละ 36.6)

3.3 กลุ่มสินค้าและบริการอื่น ได้แก่ บริการขนส่ง (+ร้อยละ 8.2) ที่พักอาศัย (+ร้อยละ 7.8) บุหรี่และยาสูบ (+ร้อยละ 5.8) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 4.4) วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (+ร้อยละ 4.2) รถยนต์ใหม่ (+ร้อยละ 4.1) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (+ร้อยละ 3.1) ส่วนรถยนต์มือสอง (Used Cars) (-ร้อยละ 5.2) และบัตรโดยสารเครื่องบิน (-ร้อยละ 18.9)

สถิติอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน

ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor

  1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI)

The Conference Board (CB) รายงานผู้บริโภคชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม 2566 ดีขึ้นสูงสุดในรอบสองปีนับตั้งแต่ปี 2564 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 110.1 ในเดือนมิถุนายน 2566 (ปีฐาน: ปี 2528 = 100) เป็น 117.0 ในเดือนกรกฎาคม 2566 เช่นเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบัน (Present Situation Index) ปรับตัวดีขึ้นจากเดิม 155.3 ในเดือนมิถุนายน 2566 เป็น 160.0 ในเดือนกรกฎาคม 2566 รวมถึงดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภค (Expectations Index) ซึ่งวัดจากมุมมองของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ทางด้านรายได้ การดำเนินกิจการ และการจ้างงานในตลาดแรงงานในระยะสั้นปรับตัวดีขึ้นจาก 80.0 ในเดือนมิถุนายน 2566 เป็น 88.3 ในเดือนกรกฎาคม 2566 หลังจากที่รักษาระดับต่ำกว่า 80.0 มาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ภายในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า

โดยปัจจัยภาวะเงินเฟ้อและปัจจัยการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นมีอิทธิพลสำคัญทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม โดยรวมในระยะยาวผู้บริโภคชาวอเมริกันในตลาดยังมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายลงโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น การท่องเที่ยว การพักผ่อนสันทนาการ และการพนัน ส่วนกลุ่มบริการด้านสุขภาพและการบริการบันเทิงออนไลน์ (Online Streaming) ที่มีราคาถูกยังคงมีแนวโน้มใช้จ่ายต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในตลาดยังเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงปลายปีนี้

ที่มา: The Conference Board

 

  1. ภาวะการค้าปลีกของสหรัฐฯ

สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ รายงานภาวะการค้าปลีกและ การบริการด้านอาหารรายเดือนล่วงหน้า (Advance Monthly Sales for Retail and Food Services) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนมิถุนายน 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สามารถสรุปได้ ดังนี้

  • มูลค่าการค้าปลีกสินค้าและการบริการด้านอาหาร (Retail & Food Services) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 0.2 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 689,499 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • มูลค่าการค้าปลีก (Retail Trade Sales) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 600,553 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • มูลค่าการค้าปลีกไม่ผ่านร้านค้า (Nonstore Retailers) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 115,173 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การค้าปลีกผ่านช่องทางร้านค้าอื่นๆ (+ร้อยละ 2.0) เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน (+ร้อยละ 1.4) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ (+ร้อยละ 1.1) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (+ร้อยละ 0.6) รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ (+ร้อยละ 0.3) และการบริการร้านอาหาร (+ร้อยละ 0.4) ตามลำดับ

กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกหดตัวลง ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง (-ร้อยละ 1.4) วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง (-ร้อยละ 1.2) อุปกรณ์กีฬา (-ร้อยละ 1.0) อาหารและเครื่องดื่ม (-ร้อยละ 0.7) สินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคล (-ร้อยละ 0.1) และสินค้าปลีกทั่วไป (-ร้อยละ 0.1) ตามลำดับ

ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce

 

  1.  ภาวะการค้าระหว่างประเทศ

สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ รายงานสถิติดุลการค้า (ส่งออก – นำเข้า) สหรัฐฯ ประจำเดือนพฤษภาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สรุปได้ ดังนี้

สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ในเดือนพฤษภาคม 2566 สุทธิทั้งสิ้น 68,982 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 5,456 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 7.33 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา

สหรัฐฯ มีมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการในเดือนพฤษภาคม 2566 เป็นมูลค่า 247,099 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,053 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 0.82 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น

  • การส่งออกสินค้าเป็นมูลค่า 164,807 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,468 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 48 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
  • การส่งออกบริการเป็นมูลค่า 82,292 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 415 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา

โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ บริการขนส่ง และบริการการท่องเที่ยว เป็นต้น

สหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการในเดือนพฤษภาคม 2566 เป็นมูลค่า 316,082 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 7,508 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 2.32 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น

  • การนำเข้าสินค้าเป็นมูลค่า 256,066 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 7,228 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
  • การนำเข้าบริการเป็นมูลค่า 60,015 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 281 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 0.47 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา

โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และงานศิลปะเพื่อการสะสม (Artwork and Other Collectibles) เป็นต้น

ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce

 

  1. ภาวะการค้าระหว่าง สหรัฐฯ – ไทย

ในเดือนพฤษภาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สหรัฐฯ และไทยมีมูลค่าการค้าสุทธิทั้งสิ้น 6,098.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลงร้อยละ 8.36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ มีดุลการค้า ขาดดุล ไทยเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,458.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลงร้อยละ 14.84 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

  • สหรัฐฯ นำเข้าจากไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 15) ลดลงร้อยละ 10.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักนำเข้าจากไทย ได้แก่ เครื่องประมวลผลข้อมูล (HS Code 8471) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.30 อุปกรณ์โทรศัพท์ (HS Code 8517) เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.63 ชิ้นส่วนตัวนำไฟฟ้า (HS Code 8541) เพิ่มขึ้นร้อยละ 146.95 ยางรถยนต์ (HS Code 4011) ลดลงร้อยละ 25.01 และเครื่องปรับอากาศ (HS Code 8415) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.26

ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทย 10 อันดับแรกเดือนพฤษภาคม 2566 

  • สหรัฐฯ ส่งออกไปไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,319.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 25) เพิ่มขึ้นร้อยละ 81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักส่งออกไปไทย ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม (HS Code 2709) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.80 เครื่องประมวลผลข้อมูล (HS Code 8471) เพิ่มขึ้นร้อยละ 860.99 แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) ลดลงร้อยละ 20.76 ข้าวสาลี (HS Code 1001) เพิ่มขึ้นร้อยละ 137.84 และชิ้นส่วนแทรกเตอร์ (HS Code 8708) เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.34

ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปไทย 10 อันดับแรกเดือนพฤษภาคม 2566  

ที่มา: Global Trade Atlas

มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก)

ในเดือนพฤษภาคม 2566 สหรัฐฯ และไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเฉพาะในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต.  ชิคาโก เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,393.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวลงร้อยละ 6.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยรัฐในเขตพื้นที่ดูแลมีมูลค่าการนำเข้าจากไทยทั้งสิ้น 1,026.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 11.86 และรัฐในเขตพื้นที่ดูเลมีมูลค่าการส่งออกไปไทยทั้งสิ้น 366.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.69 โดยรวมรัฐในเขตพื้นที่ดูแลมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ขาดดุล ไทยทั้งสิ้น 660.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 20.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

  • รัฐที่เป็นฐานส่งออกสินค้าของไทย ได้แก่ รัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 54) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 12.88) รัฐเคนทักกี (ร้อยละ 12.58) รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 10.99) และรัฐมินนิโซตา (ร้อยละ 7.86) ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ จุกและฝาโลหะ (HS Code 8309) ร้อยละ 17.83 วัสดุก่อสร้างพลาสติก (HS Code 3925) ร้อยละ 5.94 เครื่องพิมพ์ (HS Code 8469) ร้อยละ 5.54 คอนเทนเนอร์ (HS Code 8609) ร้อยละ 4.82 เครื่องเรดาร์ (HS Code 8526) ร้อยละ 2.64 เครื่องรับสัญญาณวิทยุ (HS Code 8527) ร้อยละ 2.63 เครื่องจักรสำนักงาน (HS Code 8472) ร้อยละ 2.24 อุปกรณ์ทางการแพทย์ (HS Code 9018) ร้อยละ 1.68 เลนส์ถ่ายภาพ (HS Code 9002) ร้อยละ 1.27 และนิกเกิลแผ่น (HS Code 7506) ร้อยละ 1.09 ตามลำดับ
  • รัฐที่เป็นแหล่งนำเข้าสินค้าของไทย ได้แก่ รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 40) รัฐเคนทักกี (ร้อยละ 15.88) รัฐอินดีแอนา (ร้อยละ 11.59) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 9.22) และรัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 9.17) ตามลำดับ โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ จุกและฝาโลหะ (HS Code 8309) ร้อยละ 27.21 คอมพิวเตอร์ (HS Code 8470) ร้อยละ 14.29 ขี้แร่ (HS Code 2619) ร้อยละ 6.81 โค้กและเซมิโค้กจากถ่านหิน (HS Code 2704) ร้อยละ 4.94 รถคนพิการ (HS Code 8713) ร้อยละ 3.26 ก๊าซปิโตรเลียม (HS Code 2711) ร้อยละ 1.71 แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) ร้อยละ 1.56 นิกเกิลแผ่น (HS Code 7506) ร้อยละ 1.49 เครื่องเซ็นตริฟิวจ์ (HS Code 8421) ร้อยละ 1.42 และไฮไดรด์ ไนไตรด์ อะไซด์ ซิลิไซด์ และบอไรด์ (HS Code 2850) ร้อยละ 1.12 ตามลำดับ

สถิติการค้าสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก)

******************************

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก

ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)

Login