หน้าแรกTrade insightการค้าระหว่างประเทศ > รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะการค้าสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคม 2566 – สคต. ชิคาโก

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะการค้าสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคม 2566 – สคต. ชิคาโก

  1. อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP Growth)

สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (U.S. Bureau of Economic Analysis) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (U.S. Department of Commerce) รายงานมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติแท้จริง (Real GDP)  สหรัฐฯ ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 และรายงานมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ประมาณการครั้งที่ 2 (Second Estimate) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 (ลดลงจากประมาณการล่วงหน้าที่อัตราร้อยละ 2.4)

โดยแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 เป็นผลมาจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคประชาชน การลงทุนระยะยาวไม่ใช่ที่อยู่อาศัย การใช้จ่ายรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ในขณะที่ การส่งออก การลงทุนระยะยาวสำหรับที่อยู่อาศัย การลงทุนคงคลังภาคเอกชน และการนำเข้ากลับชะลอตัวลง

สถิติอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2562 – 2566

ที่มา: Bureau of Economic Analysis, U.S. Department of Commerce

 

  1. อัตราการว่างงาน

สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเหลือร้อยละ 3.5 มีจำนวนผู้ว่างงานเหลือในระบบเศรษฐกิจเพียง 5.8 ล้านคน ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2566 อัตราการว่างงานสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไม่มากนักระหว่างร้อยละ 3.4 – 3.7

โดยในเดือนกรกฎาคม 2566 สหรัฐฯ มีการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll Employment) เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 187,000 ตำแหน่ง

  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ 63,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมสังคมสงเคราะห์ 24,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมบริการอื่นๆ 20,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมการเงิน 19,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมก่อสร้าง 19,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมค้าส่ง 18,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว 17,000 ตำแหน่ง
  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมบริการทางธุรกิจ 8,000 ตำแหน่ง
  • ส่วนอุตสาหกรรมเหมืองแร่และขุดเจาะพลังงาน อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมการค้าปลีก อุตสาหกรรมการขนส่งและคงคลังสินค้า อุตสาหกรรมสารสนเทศ และการจ้างงานภาครัฐไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

สถิติอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน

ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor

 

  1. ภาวะเงินเฟ้อ (Consumer Price Index: CPI)

สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนที่ผ่านมาเป็นร้อยละ 3.2 ไม่ปรับฤดูกาล (Unadjusted)

โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาราคาสินค้าไม่ปรับฤดูกาล (Unadjusted) กลุ่มอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเฉลี่ยร้อยละ 4.9 ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการอื่นปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ในขณะที่กลุ่มสินค้าพลังงานปรับตัวลดลงเหลือร้อยละ 12.5 รายละเอียด ดังนี้

3.1 กลุ่มสินค้าอาหาร ได้แก่ ซีเรียลและเบเกอรี (+ร้อยละ 7.0) เครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 5.4) ผักและผลไม้สด (+ร้อยละ 2.9) ผลิตภัณฑ์จากนม (+ร้อยละ 1.3) และเนื้อสัตว์และไข่ (-ร้อยละ 0.2)

3.2 กลุ่มสินค้าพลังงาน ได้แก่ ไฟฟ้า (+ร้อยละ 3.0) ก๊าซธรรมชาติ (-ร้อยละ 13.7) และน้ำมันเชื้อเพลิง (-ร้อยละ 26.5)

3.3 กลุ่มสินค้าและบริการอื่น ได้แก่ บริการขนส่ง (+ร้อยละ 9.0) ที่พักอาศัย (+ร้อยละ 7.7) บุหรี่และยาสูบ (+ร้อยละ 6.1) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 4.1) วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (+ร้อยละ 4.1) รถยนต์ใหม่ (+ร้อยละ 3.5) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (+ร้อยละ 3.2) ส่วนรถยนต์มือสอง (Used Cars) (-ร้อยละ 5.6) และบัตรโดยสารเครื่องบิน (-ร้อยละ 18.6)

สถิติอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน

ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor

  1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI)

The Conference Board (CB) รายงานผู้บริโภคชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในเดือนสิงหาคม 2566  โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) ปรับตัวลดลงจาก 114.0 ในเดือนกรกฎาคม 2566 (ปีฐาน: ปี 2528 = 100) เป็น 106.1 ในเดือนสิงหาคม 2566 เช่นเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบัน (Present Situation Index) ปรับตัวลดลงจากเดิม 153.0 ในเดือนกรกฎาคม 2566 เป็น 144.8 ในเดือนสิงหาคม 2566 รวมถึงดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภค (Expectations Index) ซึ่งวัดจากมุมมองของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ทางด้านรายได้ การดำเนินกิจการ และการจ้างงานในตลาดแรงงานในระยะสั้นปรับตัวลดลงจาก 88.0 ในเดือนกรกฎาคม 2566 เป็น 80.2 ในเดือนสิงหาคม 2566 ทั้งนี้ ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภคระดับต่ำกว่า 80.0 เป็นระดับที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ภายในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า

ปัจจัยด้านสถานการณ์ในตลาดโดยเฉพาะการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในภาพรวมทั้งราคาสินค้ากลุ่มอุปโภคบริโภคและสินค้ากลุ่มพลังงานส่งผลทำให้ผู้บริโภคในตลาดแทบจะทุกกลุ่มอายุชะลอการใช้จ่ายลง อีกทั้ง ปัจจัยด้านการจ้างงานในตลาดที่เริ่มชะลอตัวลงเองก็มีอิทธิพลสำคัญทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในตลาดปรับตัวลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้บริโภคในตลาดจะยังคงกังวลกับปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และรายได้ในอนาคต แต่โดยรวมในระยะสั้น (ไม่เกิน 6 เดือน) ผู้บริโภคยังมีแนวโน้มการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ในขณะที่แนวโน้มการซื้อบ้านยังคงชะลอตัวลงจากปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยในตลาด

ที่มา: The Conference Board

 

  1. ภาวะการค้าปลีกของสหรัฐฯ

สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ รายงานภาวะการค้าปลีกและ การบริการด้านอาหารรายเดือนล่วงหน้า (Advance Monthly Sales for Retail and Food Services) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สามารถสรุปได้ ดังนี้

  • มูลค่าการค้าปลีกสินค้าและการบริการด้านอาหาร (Retail & Food Services) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 0.7 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 696,354 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • มูลค่าการค้าปลีก (Retail Trade Sales) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 605,211 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • มูลค่าการค้าปลีกไม่ผ่านร้านค้า (Nonstore Retailers) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 117,401 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุปกรณ์กีฬา (+ร้อยละ 1.5) การบริการร้านอาหาร (+ร้อยละ 1.4) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (+ร้อยละ 1.0)อาหารและเครื่องดื่ม (+ร้อยละ 0.8) สินค้าปลีกทั่วไป (+ร้อยละ 0.8) วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง (+ร้อยละ 0.7) และสินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคล (+ร้อยละ 0.7) น้ำมันเชื้อเพลิง (+ร้อยละ 0.4) ตามลำดับ

กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกหดตัวลง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน (-ร้อยละ 1.3) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ (-ร้อยละ 1.1) รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ (-ร้อยละ 0.3) และการค้าปลีกผ่านช่องทางร้านค้าอื่นๆ (-ร้อยละ 2.0) ตามลำดับ

ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce

 

  1.  ภาวะการค้าระหว่างประเทศ

สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ รายงานสถิติดุลการค้า (ส่งออก – นำเข้า) สหรัฐฯ ประจำเดือนมิถุนายน 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สรุปได้ ดังนี้

สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ในเดือนมิถุนายน 2566 สุทธิทั้งสิ้น 65,497 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,788 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 4.08 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา

สหรัฐฯ มีมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการในเดือนมิถุนายน 2566 เป็นมูลค่า 247,833 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 0.14 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น

  • การส่งออกสินค้าเป็นมูลค่า 165,143 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 09 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
  • การส่งออกบริการเป็นมูลค่า 82,340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา

โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ทองคำ (ที่ไม่ใช่สำหรับการเงิน) สารเคมี เพชร เครื่องจักร และอุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น

สหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการในเดือนมิถุนายน 2566 เป็นมูลค่า 312,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,138 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 0.99 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น

  • การนำเข้าสินค้าเป็นมูลค่า 253,328 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
  • การนำเข้าบริการเป็นมูลค่า 59,652 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 188 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 0.31 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา

โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ทองคำ (ที่ไม่ใช่สำหรับการเงิน) รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ และอุปกรณ์เวชภัณฑ์ เป็นต้น

ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce

 

  1. ภาวะการค้าระหว่าง สหรัฐฯ – ไทย

ในเดือนมิถุนายน 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สหรัฐฯ และไทยมีมูลค่าการค้าสุทธิทั้งสิ้น 5,828.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 18) ลดลงร้อยละ 12.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ มีดุลการค้า ขาดดุล ไทยเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,634.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

  • สหรัฐฯ นำเข้าจากไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 14) ลดลงร้อยละ 3.06 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักนำเข้าจากไทย ได้แก่ อุปกรณ์โทรศัพท์ (HS Code 8517) เพิ่มขึ้นร้อยละ 541.78 เครื่องประมวลผลข้อมูล (HS Code 8471) ลดลงร้อยละ 29.55 ชิ้นส่วนตัวนำไฟฟ้า (HS Code 8541) เพิ่มขึ้นร้อยละ 141.59 ยางรถยนต์ (HS Code 4011) ลดลงร้อยละ 24.16 และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.68

ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทย 10 อันดับแรกเดือนมิถุนายน 2566  

ที่มา: Global Trade Atlas

  • สหรัฐฯ ส่งออกไปไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 29) ลดลงร้อยละ 37.89 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักส่งออกไปไทย ได้แก่ อัญมณีและหินสี (HS Code 7103) เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.33 แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) ลดลงร้อยละ 26.94 ชิ้นส่วนตัวนำไฟฟ้า (HS Code 8541) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.06 เอนไซม์ (HS Code 3507) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4,321.11 และชิ้นส่วนและอุปกรณ์แทรกเตอร์ (HS Code 8708) เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.67

ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปไทย 10 อันดับแรกเดือนมิถุนายน 2566  

ที่มา: Global Trade Atlas

มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก)

ในเดือนมิถุนายน 2566 สหรัฐฯ และไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเฉพาะในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต.  ชิคาโก เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,344.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวลงร้อยละ 11.34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยรัฐในเขตพื้นที่ดูแลมีมูลค่าการนำเข้าจากไทยทั้งสิ้น 998.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 7.91 และรัฐในเขตพื้นที่ดูแลมีมูลค่าการส่งออกไปไทยทั้งสิ้น 345.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวลงร้อยละ 19.97 โดยรวมรัฐในเขตพื้นที่ดูแลมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ขาดดุล ไทยทั้งสิ้น 653.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.06 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

  • รัฐที่นำเข้าจากไทย ได้แก่ รัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 37.28) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 14.21) รัฐเคนทักกี (ร้อยละ13.10) รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 8.47) และรัฐอินดีแอนา (ร้อยละ 8.25) ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ จุกและฝาโลหะ (HS Code 8309) ร้อยละ 19.16 วัสดุก่อสร้างพลาสติก (HS Code 3925) ร้อยละ 7.18 เครื่องพิมพ์ (HS Code 8469) ร้อยละ 84 คอนเทนเนอร์ (HS Code 8609) ร้อยละ 5.45 เครื่องจักรสำนักงาน (HS Code 8472) ร้อยละ 2.93 อุปกรณ์ทางการแพทย์ (HS Code 9018) ร้อยละ 1.88 เครื่องเรดาร์ (HS Code 8526) ร้อยละ 1.87 เครื่องรับสัญญาณวิทยุ (HS Code 8527) ร้อยละ 1.87 นิกเกิลแผ่น (HS Code 7506) ร้อยละ 1.28 และเลนส์ถ่ายภาพ (HS Code 9002) ร้อยละ 1.08 ตามลำดับ
  • รัฐที่ส่งออกไปไทย ได้แก่ รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 19.03) รัฐอินดีแอนา (ร้อยละ 18.23) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 12.73) รัฐลุยเซียนา (ร้อยละ 10.73) และรัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 9.50) ตามลำดับ โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ จุกและฝาโลหะ (HS Code 8309) ร้อยละ 14.12 ขี้แร่ (HS Code 2619) ร้อยละ 7.80 โค้กและเซมิโค้กจากถ่านหิน (HS Code 2704) ร้อยละ 09 รถเข็นผู้พิการ (HS Code 8713) ร้อยละ 3.04 ก๊าซปิโตรเลียม (HS Code 2711) ร้อยละ 1.48 ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ (HS Code 8409) ร้อยละ 1.48 นิกเกิลแผ่น (HS Code 7506) ร้อยละ 1.48 อุปกรณ์ทางการแพทย์ (HS Code 9018) ร้อยละ 1.46 แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) ร้อยละ 1.33 และทองแดงบริสุทธิ์ (HS Code 7403) ร้อยละ 1.22 ตามลำดับ

สถิติการค้าสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก)

ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce

******************************

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก

ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)

Login