รัฐบาลลาวอยู่ระหว่างการออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ โดยจัดตั้งกรมการจัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ภายใต้ธนาคารแห่งชาติลาว โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ และเพิ่มการแข็งค่าของเงินกีบ
นายสถาพร แก้ววงวิจิตร หัวหน้ากรมการจัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ธนาคารแห่งชาติลาว ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดตั้งกรมการจัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อรักษาสกุลเงินตราต่างประเทศ และควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความคงที่ รวมทั้ง ฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
การจัดตั้งกรมฯ ดังกล่าว จะเป็นหน่วยงานที่ควบคุมเงินตราต่างประเทศ โดยการออกกฎระเบียบ การกำหนดกลยุทธ์ และการออกระเบียบให้อำนวยความสะดวกทางการค้า และ การชำระการลงทุน และการเตรียมเงินตราต่างประเทศให้เพียงพอต่อการชำระค่าสินค้า
นายสถาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน และอัตราเงินเฟ้อของเงินกีบ ทำให้ธนาคารต้องเข้ามามีบทบาทในการควบคุมเงินตรา และไม่อนุญาตให้เอกชนนำเงินตราต่างประเทศออกจากระบบ ถึงแม้ว่า ภาครัฐได้สั่งปิดร้านแลกเงินนอกระบบแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงร้านแลกเงินนอกระบบดำเนินการอยู่ ซึ่งธนาคารจะคอยตรวจสอบ และสั่งปิดร้านเหล่านี้
นอกจากนี้ รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงกฎหมายอย่างเร่งด่วน เพื่อควบคุมเงินตราสกุลต่างประเทศ เพื่อควบคุมให้เงินตราเหล่านี้เข้าสู่ระบบธนาคารทั้งหมด โดยเฉพาะรายได้ที่มาจากการส่งออกสินค้า และการกู้ยืมเงินตราสกุลต่างประเทศ
นายสถาพร กล่าวเพิ่มเติมว่า หากทุกรายได้การส่งออกผ่านระบบธนาคารของลาว จะให้ลาวมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายความว่า ลาวจะมีเงินตราสกุลต่างประเทศมากเพียงพอในการชำระค่าสินค้าและจะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง และทำให้ค่าเงินกีบแข็งค่ามากขึ้น และจะส่งผลให้สถานการณ์เศรษฐกิจของลาวปรับตัวดีขึ้น
ในอนาคต รัฐบาล และกรมการจัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตรวจสอบการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศ โดยการกู้ยืมเงิน จะต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้คืนด้วย รวมทั้ง การสนับสนุนให้ใช้เงินกีบในการชำระเงิน ในพื้นที่ชายแดนผ่านการออกข้อบังคับกฎหมายท้องถิ่น โดยจะระบุกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ในการดำเนินการใช้เงินกีบ รวมทั้ง ผู้ขายสินค้า ต้องตั้งราคาและขายสินค้าเป็นเงินกีบเท่านั้น
Vientiane Times
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)
