หน้าแรกTrade insightยานยนต์เเละส่วนประกอบ > ยอดขายรถ EV สหรัฐฯ พุ่งครองตลาดเป็นอันดับสองของโลก – สคต. ชิคาโก

ยอดขายรถ EV สหรัฐฯ พุ่งครองตลาดเป็นอันดับสองของโลก – สคต. ชิคาโก

“ผู้เชี่ยวชาญในตลาดคาดว่าสัดส่วนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ  จะขยายตัวเป็นร้อยละ 46 ภายในปี 2570”

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle หรือ EV)  เป็นรถที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวอเมริกันมาอย่างต่อเนื่องและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ ปัจจัยด้านความนิยมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน รวมถึงปัจจัยด้านการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในอุตสาหกรรมการผลิตและภาษีส่วนลดผู้ซื้อ โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้อุปสงค์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ยอดขายไตรมาสแรกในปีนี้พุ่งทำลายสถิติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 69 เป็นร้อยละ 79 ในปีนี้ (Year-Over-Year หรือ YOY) จากการรายงานของบริษัท Counterpoint ผู้วิจัยเทคโนโลยี แนวโน้มดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้สหรัฐฯ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ครองตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากจีนแซงหน้าเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายการสนับสนุนด้านภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยได้ขยายโครงการส่วนลดภาษีซื้อ (Tax Credit) ให้กับผู้ซื้อมูลค่าสูงสุด 7,500 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการผ่านกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act หรือ IRA) ซึ่งมีงบประมาณส่วนหนึ่งสำหรับสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดภายในประเทศด้วย

ทั้งนี้ Tesla ยังคงเป็นแบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก ครอบครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ 62.7 และร้อยละ 15 ของตลาดทั้งหมดแม้ว่าปัจจุบันจะมีคู่แข่งในตลาดเพิ่มมากขึ้น เช่น GM และ Ford ที่ได้เร่งการพัฒนาและผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกมาหลายรุ่นเพื่อแข่งขันในตลาด แม้ว่าคู่แข่งรายใหญ่ทั้งสองรายจะพยายามเร่งกำลังการผลิตเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดในช่วงที่ Tesla ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ได้ไม่ทันตามความต้องการของผู้บริโภคก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับ Tesla ได้ โดย GM และ Ford มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพียงร้อยละ 7.6 และร้อยละ 5.2 ตามลำดับ

แม้ว่า ปัจจุบันยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในตลาดสหรัฐฯ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นตลาดสินค้ากลุ่มเฉพาะ (Niche Market) เนื่องจากมีสัดส่วนคิดเป็นเพียงร้อยละ 7 ของปริมาณยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในสหรัฐฯ อีกทั้ง ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในตลาดส่วนใหญ่ (ยกเว้น Tesla) ยังกำลังเผชิญกับอุปสรรคหลายด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยด้านสัดส่วนกำไรในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถยนต์พลังงานน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในตลาดคาดว่า ค่ายรถยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ จะสามารถเอาชนะ Tesla ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยธนาคาร Bank of America (BofA) รายงานสถานการณ์การแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ (Car Wars) ประจำปี ระบุว่า ภายใน 4 ปีข้างหน้า ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ 3 รายแห่งเมือง Detroit รัฐมิชิแกน ได้แก่ Ford  GM และ Stellantis จะสามารถเอาชนะ Tesla และกลายเป็นผู้ครองสัดส่วนตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

โดยรายงานดังกล่าวยังระบุว่า ภายในปี 2569 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ จะมีสัดส่วนขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 26 ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ในขณะที่สัดส่วนตลาดของ Tesla จะลดลงจากจุดสูงสุดที่ร้อยละ 78 ในปี 2561 เหลือเพียงร้อยละ 18 ภายในสิ้นปี 2569 ส่วน Ford และ GM จะมีสัดส่วนตลาดเพิ่มขึ้นเป็นเท่ากันเป็นร้อยละ 14 และ Stellantis เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8

โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ GM ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 20,000 คัน ทั้งนี้คาดว่า บริษัทจะสามารถเพิ่มจำนวนรุ่นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ 10 รุ่นและขยายกำลังการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้เป็นหนึ่งล้านคันต่อปีได้ภายในปี 2568

นอกจากนี้ รายงานฉบับดังกล่าวยังคาดว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันจะมีความต้องการซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเร่งผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ออกมาทำตลาดมากขึ้นในอนาคต อีกทั้ง ปริมาณการผลิตในช่วงระหว่างปี 2567 – 2570 ยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นและจะทำให้สัดส่วนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 46 ของจำนวนรถยนต์ในสหรัฐฯ

ทั้งหมดด้วย และจะทำให้สัดส่วนรถยนต์พลังงานน้ำมัน  (Internal Combustion Vehicle หรือ ICE) และรถยนต์พลังงานผสมระหว่างน้ำมันและไฟฟ้า (Hybrid) หดตัวลงเหลือร้อยละ 35 และร้อยละ 18 ตามลำดับ

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ

ปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังเป็นที่สนใจทั้งในกลุ่มของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรวมถึงกลุ่มผู้บริโภคในตลาดเนื่องจากปัจจัยด้านความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งกระทบต่อแหล่งพลังงานของโลก จนแม้ว่าระดับราคาพลังงานในขณะนี้จะเริ่มปรับตัวลงแล้วก็ตามแต่หลายฝ่ายยังคงคาดว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่ในอนาคตอย่างแน่นอนจากกระแสการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรปและสหรัฐฯ ที่ทั้งภาครัฐบาลและภาคผู้บริโภคต่างร่วมมือกันลดการปลดปล่อยก๊าซของเสียเพื่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ เทคโนโลยีการผลิตในอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปัจจุบันยังพัฒนาไปอย่างรุดหน้า ทำให้ราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าในตลาดปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับรถยนต์พลังงานน้ำมันผู้บริโภคกลุ่มรายได้ปานกลางสามารถซื้อเป็นเจ้าของได้ อีกทั้ง สมรรถนะของระบบเก็บปะจุพลังงานและน้ำหนักแบตเตอรี รวมถึงประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการชาร์จพลังงานในแต่ละครั้งยังพัฒนาไปมากสามารถตอบสนองความต้องการใช้งานของผู้บริโภคในตลาดได้มากขึ้นจึงทำให้ผู้บริโภคหันไปเลือกซื้อมากขึ้นด้วย

อีกทั้ง ในส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯ เองยังมีนโยบายให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) เป็นอันดับต้นๆ และได้ดำเนินนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนนโยบายดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด เช่น การกำหนดเป้าหมายประเทศให้อุตสาหกรรมผลิตและพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าสหรัฐฯ ก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำอุตสาหกรรมของโลก การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ การผ่านกฎหมายลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จพลังงานรถยนตพลังงานไฟฟ้าทั่วประเทศ การออกกฎให้หน่วยงานรัฐทุกแห่งเปลี่ยนไปใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงการให้การสนับสนุนผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าผ่านโครงการส่วนลดภาษีซื้อ (Tax Credit) ด้วย

โดยล่าสุดสหรัฐฯ ได้พิจารณาต่ออายุโครงการส่วนลดภาษีซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าออกไปอีก 10 ปี จากเดิมที่หมดอายุลงเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ไปเป็นสิ้นเดือนธันวาคม 2575 ผู้บริโภคที่มีคุณสมบัติเข้าตามเกณฑ์ที่กำหนดมีสิทธิได้รับส่วนลดภาษีสูงสุดทั้งสิ้น 7,5000 ดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ ด้วย

แม้ว่าปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ จะยังมีสัดส่วนไม่มากนักคิดเป็นเพียงราวร้อยละ 7 ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมดในตลาด การดำเนินนโยบายสนับสนุนดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคชาวอเมริกันเองโดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มักจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมาเป็นอันดับแรก จึงมีความเป็นไปได้สูงที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่ในตลาดสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้

แนวโน้มตลาดดังกล่าวน่าจะเป็นโอกาสในการผลักดันการส่งออกสินค้าไทยในกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักที่มีศักยภาพสูงของไทยอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ยังคงดำเนินมาตรการตอบโต้ตามมาตรการปกป้องประเทศ (Safeguard Measure) เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีกร้อยละ 25 จากอัตราภาษีนำเข้าปกติซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ด้วย

อีกทั้ง เมื่อไม่นานมานี้สหรัฐฯ ยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบการผลิตไฟฟ้าสะอาด จึงคาดว่าในอนาคตอุตสาหกรรมต่างๆ จะพัฒนาไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า ประกอบกับแนวโน้มด้านเทคโนโลยีทันสมัยที่รุดหน้ายังทำให้สินค้าระบบอัจฉริยะ (Smart System) เป็นที่นิยมมากในตลาด ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมจึงควรนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการพิจารณาในกระบวนการผลิตและออกแบบสินค้าที่เกี่ยวข้องในอนาคตเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตต่อไป

“ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสหรัฐฯ อย่างจริงจัง”

สำนักข่าว CBT NEWS และ Electrek

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก

ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)

Login