วันที่ 27 มิถุนายน 2566 เวลา 10.30 น. นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศ–การค้าชายแดนและผ่านแดน เดือนพฤษภาคม 2566 และ 5 เดือนแรกของปี 2566 พร้อมด้วยนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ที่ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่า 24,340.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (830,448 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 4.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 1.4 จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมโลกเร่งตัวขึ้นจากการผ่อนคลายปัญหาห่วงโซ่การผลิต แต่คำสั่งซื้อใหม่สำหรับการส่งออกไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคควบคุมการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ดี การส่งออกของไทยหดตัวน้อยลงกว่าเดือนก่อนหน้า และทำมูลค่าสูงกว่ามูลค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังของเดือนพฤษภาคม (21,658.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัวในรอบ 8 เดือน จากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำฯ หม้อแปลงไฟฟ้าฯ) ยานพาหนะและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น เครื่องปรับอากาศ) ขณะที่ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ อาเซียน(5) และสหภาพยุโรป กลับมาขยายตัวอีกครั้ง ทั้งนี้ การส่งออกไทย 5 เดือนแรก หดตัวร้อยละ 5.1 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 2.1
มูลค่าการค้ารวม
- มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนพฤษภาคม 2566
การส่งออก มีมูลค่า 24,340.9 ล้านเหรียญสหรัฐหดตัวร้อยละ 4.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 26,190.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.4
ดุลการค้า ขาดดุล 1,849.3 ล้านเหรียญสหรัฐภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2566
การส่งออก มีมูลค่า 116,344.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.1 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 122,709.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 2.5
ดุลการค้า 5 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 6,365.3 ล้านเหรียญสหรัฐ - มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนพฤษภาคม 2566
การส่งออก มีมูลค่า 830,448 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.8 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 904,563 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.7
ดุลการค้า ขาดดุล 74,115 ล้านบาทภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2566
การส่งออก มีมูลค่า 3,941,426 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.4 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า มีมูลค่า 4,210,326 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 0.2
ดุลการค้า 5 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 268,901 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 16.3 (YoY) หดตัวในรอบ 4 เดือน หดตัวจากสินค้าเกษตรสูงถึงร้อยละ 27.0 ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 0.6 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 44.3 กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 84.6 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย อิรัก แอฟริกาใต้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 10.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 55.5 ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์) ผักกระป๋องและผักแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 28.9 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัวร้อยละ 54.8 หดตัวในรอบ 7 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ฮ่องกง เวียดนาม และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และแคนาดา) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 41.7 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม ลาว และบังกลาเทศ) ยางพารา หดตัวร้อยละ 37.2 หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวในตลาดเยอรมนี) อาหารสัตว์เลี้ยง หดตัวร้อยละ 23.8 หดตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี และฟิลิปปินส์ แต่ขยายตัวในตลาดลาว กัมพูชา เมียนมา นิวซีแลนด์ และบังกลาเทศ) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ หดตัวร้อยละ 63.0 หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย กัมพูชา ญี่ปุ่น และเวียดนาม แต่ขยายตัวในตลาดเมียนมา เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และเนเธอร์แลนด์) ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 1.3
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 1.5 (YoY) กลับมาขยายตัวในรอบ 8 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 8.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.2 กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 87.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย จีน และเกาหลีใต้) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 53.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 19 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก อิตาลี และมาเลเซีย) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 22.9 กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เบลเยียม สหรัฐฯ บราซิล และออสเตรเลีย)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 26.8 หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (หดตัวในตลาดจีน กัมพูชา อินเดีย เวียดนาม และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอียิปต์) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 4.8 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย เยอรมนี และอินเดีย) ผลิตภัณฑ์ยาง หดตัวร้อยละ 6.0 หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน มาเลเซีย เวียดนาม และ อินโดนีเซีย แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย อินเดีย และบราซิล) เครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์หดตัวร้อยละ 34.7 หดตัวในรอบ 4 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฮ่องกง แต่ขยายตัวในตลาดแคนาดา กัมพูชา สหราชอาณาจักร อินเดีย และเกาหลีใต้) ทองแดงและของทำด้วยทองแดง หดตัวร้อยละ 21.2 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม สหรัฐฯ และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดอินเดีย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ตุรกี และออสเตรเลีย) ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.4
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่กลับมาขยายตัว อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และอาเซียน (5) สะท้อนอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าหลายประเทศจะยังเผชิญกับความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลให้การส่งออกไปตลาดจีนกลับมาหดตัว ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 6.0 โดยกลับมาหดตัวในตลาดจีนร้อยละ 24.0 และหดตัวต่อเนื่องในตลาดญี่ปุ่น ร้อยละ 1.8 และ CLMV ร้อยละ 17.3 ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ อาเซียน(5) และสหภาพยุโรป (27) กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.2 ร้อยละ 0.1 และร้อยละ 9.5 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง หดตัวร้อยละ 4.5 โดยหดตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 25.2 และลาตินอเมริกา ร้อยละ 7.0 แต่ขยายตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 11.4 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 11.2 แอฟริกา ร้อยละ 7.9 รัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 97.7 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 5.9 (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 226.0 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 330.2
ตลาดสหรัฐฯ กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.2 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 3.3
ตลาดจีน กลับมาหดตัวร้อยละ 24.0 สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และเม็ดพลาสติก เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.5
ตลาดญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 1.8 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 2.0
ตลาดอาเซียน (5) ขยายตัวร้อยละ 0.1 (กลับมาขยายตัวในรอบ 4 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว และอากาศยานและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.0
ตลาด CLMV หดตัวร้อยละ 17.3 (หดตัวต่อเนื่อง 7 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด และน้ำตาลทราย เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 10.9
ตลาดสหภาพยุโรป (27) ขยายตัวร้อยละ 9.5 (กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อากาศยานและส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 1.0
ตลาดเอเชียใต้ หดตัวร้อยละ 25.2 (หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ และน้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 15.0
ตลาดทวีปออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 11.4 (ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และน้ำตาลทราย เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 6.2
ตลาดตะวันออกกลาง กลับมาขยายตัวร้อยละ 11.2 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และน้ำตาลทราย เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 7.9
ตลาดแอฟริกา กลับมาขยายตัวร้อยละ 7.9 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว เครื่องยนต์สันดาปภายใน และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 1.2
ตลาดลาตินอเมริกา หดตัวร้อยละ 7.0 (หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และยางพารา เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 2.6
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ขยายตัวร้อยละ 97.7 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอากาศยานและส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 28.6
ตลาดสหราชอาณาจักร ขยายตัวร้อยละ 5.9 (ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน) สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ และส่วนประกอบ และแผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เป็นต้น สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น ทั้งนี้ 5 เดือนแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 11.6
การส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ และแนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป
การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุกเพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกการส่งออก โดยการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมา อาทิ (1) การเร่งผลักดันนโยบาย “อาหารไทย อาหารโลก” รองรับความต้องการอาหารของตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร โดยใช้หลัก “รัฐหนุน เอกชนนำ” ลดอุปสรรคในการส่งออกให้มากที่สุด และส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักและชื่นชอบอาหารไทย ผ่านการจัดงานแสดงสินค้า THAIFEX-ANUGA ASIA 2023 ระหว่างวันที่ 23 – 27 พฤษภาคม 2566 เพื่อเน้นย้ำให้ทั่วโลกเห็นถึงศักยภาพของไทยในฐานะการเป็นศูนย์กลางผู้ผลิตอาหารของโลก ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้ เจรจาการค้า มีมูลค่าสั่งซื้อ 119,706.60 ล้านบาท ตลอดจนสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้นำเข้าจากประเทศต่าง ๆ เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดส่งออก และ (2) ส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศ อาทิ 1) ส่งเสริมการขายร่วมกับซุปเปอร์มาร์เก็ต Yonghui แห่งมหานครฉงชิ่ง 2) ส่งเสริมการขายร่วมกับห้างสรรพสินค้าและผู้นำเข้าในมณฑลฝูเจี้ยน และ 3) ส่งเสริมการขายปลีกสินค้าอาหารและผลไม้ไทยผ่านช่องทางการค้าปลีกสมัยใหม่ในไต้หวัน เป็นต้น
แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ไทยกำลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกจาก (1) ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่อาจลุกลามไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรป (2) สภาพอากาศแปรปรวน อาจส่งผลต่อปริมาณสินค้าเกษตรที่ผลิตได้ในปีนี้ (3) แรงกดดันของอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภค และภาคการผลิตสินค้า (4) การเปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายการค้าของคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายการพึ่งพาตนเองของจีน ขณะที่ปัจจัยบวกต่อการส่งออกของไทย ได้แก่ (1) การดำเนินนโยบายในเชิงรุกและเชิงลึกของกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งรักษาตลาดเดิม เจาะตลาดใหม่ เพื่อขยายโอกาสของผู้ประกอบการส่งออกไทย (2) แนวโน้มการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการบริโภคและการลงทุน (3) ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ อาจเป็นโอกาสที่ดีต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย