ผู้เชี่ยวชาญเปิดเผยว่า แผนการของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของฮ่องกง
ผู้นำอุตสาหกรรมและนักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า แผนการประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนของโดนัลด์ ทรัมป์ คาดกระตุ้นให้ผู้ผลิตฮ่องกงที่ตั้งฐานการผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่หันไปสู่ตลาดใหม่ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการส่งออกของฮ่องกงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนกลุ่มนักธุรกิจฮ่องกงกล่าวเมื่อวันอังคารว่า ภาคการผลิตในฮ่องกงได้ปรับตัวรับมือสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนมาตั้งแต่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนในปี 2018
ทั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 10% รวมถึงเรียกเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยขู่ว่าจะบังคับใช้ภาษีแบบครอบคลุม 60% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด
Mr. Wingco Lo Kam-wing, President of the Chinese Manufacturers’ Association of Hong Kong
ยอมรับว่าการเพิ่มภาษีครั้งใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในฮ่องกง เนื่องจากตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ถือเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ
เขากล่าวว่า “เราเริ่มเห็นคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ บางทีคู่ค้าของเราก็กังวลเรื่องการขึ้นภาษีเช่นกัน เราได้เตรียมพร้อมตั้งแต่สงครามการค้าเมื่อไม่กี่ปีก่อน โดยได้ตั้งโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้แล้ว ทั้งนี้หากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก ธุรกิจฮ่องกงจำเป็นต้องพิจารณาเจาะตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา”
Mr. Peter Lam Kin-ngok, Trade Development Council chairman และ Lai Sun Development กล่าวว่า การเพิ่มภาษีอีก 10% อาจทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ รุนแรงขึ้น เนื่องจากสินค้านำเข้าจะมีราคาสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า ด้วยประชากร 1.4 พันล้านคนของจีน ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่นี้ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้ใช้ฮ่องกงเป็นฐานสำหรับลงทุนในธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ เขายังเสริมว่าผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายรายในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงได้รับความต้องการสูง โดยเฉพาะจากตลาดใหม่อย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป
ทั้งนี้ Mr. Lo และ Mr. Lam เป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนที่นำโดย Mr. John Lee Ka-chiu ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง ซึ่งรวมเจ้าหน้าที่ นักธุรกิจ และตัวแทนภาคอุตสาหกรรมกว่า 80 คน ในการเดินทางเยือนมณฑลกวางตุ้ง โดยคณะผู้แทนจะเยี่ยมชม 5 เมืองในพื้นที่ก่อนกลับฮ่องกงในวันพุธ
Mr. Simon Lee Siu-po ศาสตราจารย์จาก Chinese University of Hong Kong’s Shenzhen Finance Institute ชี้ว่าการเพิ่มภาษีเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมาตรการลงโทษอื่นๆ ที่จะตามมา และเป็นการเปิดฉากกระบวนการเจรจาที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯ และจีน
เขากล่าวว่า “นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเจรจาที่ใช้เวลานาน ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายขึ้นอยู่กับว่าจีนจะยอมประนีประนอมในบางประเด็นหรือไม่ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชนและการเปิดตลาดเพิ่มเติมให้กับสหรัฐฯ ทั้งนี้ธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้ และมีโอกาสที่บางบริษัทอาจต้องปิดกิจการ”
นอกจากนี้ เขายังเตือนว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออกของฮ่องกง และฉุดเศรษฐกิจท้องถิ่นให้ถดถอยลง “ฮ่องกงจะเผชิญกับการหดตัวทางเศรษฐกิจหลังจากมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ เนื่องจากการส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนสำคัญต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะได้รับผลกระทบอย่างมาก”
เขาแนะนำว่า ทั้งธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงควรเร่งย้ายฐานการผลิตและสำรวจตลาดเกิดใหม่ เช่น
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อลดแรงกดดันจากมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจของทรัมป์ที่กำลังจะตามมา
Mr. Gary Ng Cheuk-yan, a senior economist of French investment bank Natixis ระบุว่าการขึ้นภาษีที่ทรัมป์เสนอแม้จะต่ำกว่าที่เคยขู่ไว้ในอดีต แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีมาตรการลงโทษเพิ่มเติมตามมาในอนาคต
“ทรัมป์อาจเดินหน้าขึ้นภาษีกับจีนต่อไป นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น” เขากล่าว พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าผู้ผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่ควรเร่งย้ายฐานการผลิตและมองหาตลาดใหม่เพื่อรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงขึ้น
“บริษัทจีนจำเป็นต้องปรับห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศในอาเซียนเพื่อลดผลกระทบเชิงลบ และเตรียมพร้อมสำหรับความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่อาจยกระดับความรุนแรงขึ้น” เขากล่าวเพิ่มเติม และยังคาดการณ์ว่าระดับการส่งออกของฮ่องกงในอนาคตอาจแย่ลงกว่าในปีนี้ อันเป็นผลจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่เสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง
ความคิดเห็นของ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง
นโยบายการขึ้นภาษีสินค้าจากจีนของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกต่อฮ่องกงในด้านการส่งออก การค้าระหว่างฮ่องกงกับสหรัฐอาจลดลง ในขณะเดียวกันก็เกิดโอกาสอื่นๆ จากนโยบายนี้ ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงยังคงยึดแนวทางรักษาสถานะ ศูนย์กลางทางการค้า การลงทุน เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากนานาชาติ พร้อมทั้งสร้างกลยุทธ์ด้วยการร่วมมือกันพัฒนาในระดับภูมิภาคเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ผู้ผลิตในจีนและฮ่องกงดำเนินการสำรวจตลาดใหม่ วางแผนการลงทุนเพื่อย้ายฐานการผลิต ตั้งโรงงานในประเทศอาเซียน สำหรับประเทศไทยนั้นมีความพร้อมที่จะเป็นฐานการผลิตและให้ความร่วมมือเปิดรับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของ Supply Chain ระดับโลก
แหล่งข้อมูล:https://www.scmp.com/news/hong-kong/hong-kong-economy/article/3288186/trumps-china-tariff-rise-push-hong-kong-manufacturers-leave-mainland-experts?module=perpetual_scroll_0&pgtype=article
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ผู้ผลิตฮ่องกงปรับแผน หลัง “ทรัมป์” จ่อเพิ่มภาษีเขย่าตลาดส่งออกจีน