เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเคนยาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน โดยระบุว่าธนาคารต้องการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลาง ปรับลดลง 0.50% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในอัตรา 10.75% โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคาร ยังตัดสินใจลดอัตราส่วนเงินสดสำรอง 1.00% เหลือ 3.25% และระบุว่าได้เริ่มตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ในเคนยาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยของตนตามที่ธนาคารกลางลดแล้วหรือไม่
“คณะกรรมการสังเกตว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงในปี 2567 ดังนั้น จึงมีขอบเขตในการผ่อนปรนนโยบายการเงินเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ยังคงรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน”
คณะกรรมการระบุในแถลงการณ์ ธนาคารกลางยังกล่าวอีกว่า คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของเป้าหมาย 2.5-7.5% แถลงการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงแถลงการณ์นโยบายการเงินครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมที่มีการลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วในครั้งนั้น 0.25% ซึ่งธนาคารกลางยังได้กล่าวถึงความจำเป็นในการสนับสนุนเศรษฐกิจด้วย ทั้งนี้ ธนาคารกลางคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 5.4% ในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์การเติบโต 4.6% เมื่อปีที่แล้ว 2024 แต่ก็ยังต่ำหว่าการขยายตัวของ GDP ในปี 2566 ที่อยู่ที่ 5.6%
ธนาคารกลางกล่าวว่า ธนาคารเชื่อว่า เศรษฐกิจของเคนยาจะมีการเติบโตโดยได้รับการสนับสนุนจากความยืดหยุ่นของภาคบริการหลักและภาคเกษตร การฟื้นตัวของการเติบโตของสินเชื่อภาคเอกชนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และการส่งออกที่ที่น่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น
ธนาคารกลางคาดการณ์ว่า บัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล 3.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปีนี้ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการคาดการณ์การขาดดุล 3.7% ในปี 2567 โดยในปี 2566 การขาดดุลอยู่ที่ 4.0% ของ GDP รายงานระบุว่าเมื่อปีที่แล้ว การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้รับการชดเชยจากเงินทุนและเงินไหลเข้ามากกว่าเงินไหลออก ส่งผลให้ดุลการชำระเงินโดยรวมเกินดุล 1.466 พันล้านดอลลาร์ เมื่อรวมกับเงินเบิกจ่ายจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ส่งผลให้มีเงินสำรองรวมเพิ่มขึ้น 2.749 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 รายงานระบุ ส่งผลให้สถานะการเงินของเคนยาดูมีความแข็งแกร่งมากขึ้นตามลำดับ
โดยจากการสำรวจของสำนักข่าว Kenyan Wall Street พบว่าหลังจากการประกาศของธนาคารกลางเคนยาในรอบล่าสุด (ก.พ.) ทำให้มีธนาคารจำนวนกว่า 23 แห่ง ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก เช่น Standard Chartered เสนอสินเชื่อราคาถูกที่สุดที่ 15.28%, Absa ที่ 18.95%, NCBA ที่ 18.04%, I&M Bank ที่ 17.86%, Co-op bank ที่ 16.90%, KCB ที่ 16.84%, DTB ที่ 16.80%, Equity Group ที่ 16.07% และ Stanbic 15.36% เป็นต้น
CBK ได้ผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงแบบก้าวหน้าและปัจจัยเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป “เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ธนาคารก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อย่างรวดเร็ว” Kamau Thugge ผู้ว่าการ CBK กล่าวในการสรุปหลังการประชุม MPC เมื่อเดือนธันวาคม “สิ่งที่เราขอคือให้ธนาคารยุติธรรมและดำเนินการในลักษณะเดียวกันโดยลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็วที่สุด”
ในเดือนธันวาคม สมาคมธนาคารแห่งเคนยาเปิดเผยว่า แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะลดลง แต่การปรับลดจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากลักษณะของภาคการธนาคารซึ่งดำเนินการโดยระดมเงินฝากและออกสินเชื่อจากกลุ่มเงินฝากเดียวกัน ในขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยลดลงเล็กน้อยจาก 10.45% ในเดือนพฤศจิกายน 2567 เป็น 10.41% ในเดือนธันวาคม 2567 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินออมเพิ่มขึ้นเป็น 4.25% ในเดือนธันวาคม 2567 จาก 3.54% ในเดือนพฤศจิกายน 2567
ความเห็นของ สคต.
การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางเคนยานั้น สะท้อนให้เห็น การใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาสมดุลในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ อัตราเงินเฟ้อในเคนยาที่มีระดับทรงตัวและต่ำกว่าเป้าหมายกล่าวคืออยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.1% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารกลางที่ตั้งไว้ในระดับ 5-7% อย่างไรก็ดี การลดลงของดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในเคนยาเป็นไปอย่างช้ากว่าที่ธนาคารกลางหวังไว้ แต่ก็เริ่มมีการตอบสนองบ้างในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา จะเห็นได้จากข่าวข้างต้น ที่แม้ธนาคารประกาศและคาดว่าการลดดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นจากธนาคารพาณิชย์แต่สมาคมธนาคารเคนยาฯ กล่าวว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยเคนยาที่เป็นประเทศที่มีต้นทุนทางการเงินในการทำธุรกิจค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศในกลุ่มแอฟริกาตะวันออก และเริ่มพบปัญหาที่ธุรกิจข้ามชาติหลายบริษัทเริ่มประกาศลดขนาดการทำธุรกิจหรือยกเลิกส่วนการผลิตในเคนยา เนื่องจากมีต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูงกว่าในหลายประเทศ ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่น อียิปต์หรือเอธิโอเปีย เป็นต้น ทั้งนี้ ต้นทุนเรื่องดอกเบี้ยเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่นักธุรกิจมอง ยังมีการเรื่องขึ้นภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น เพิ่มภาษีนำเข้าจากร้อยละ 25 เป็น 35 ในหลายสินค้า เพิ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในสินค้าจำเป็น เช่น นม ชนมปัง หรือการขึ้นค่าธรรมเนียมในการขนส่ง เป็นต้น ซึ่งภาษีและค่าธรรมเนียมที่รัฐบาลปรับขึ้นอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผลนี้ มีผลให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบและกำลังชื้อของผู้บริโภคและตลาดโดยรวมลดลง จะเห็นได้จากส่วนหนึ่งที่เศรษฐกิจของเคนยามีการเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ในปีที่ผ่านมา (2024) โดยเดิมคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 5.1% เป็นขยายตัวเพียง 4.6% ทำให้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีการเติบโตที่เป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง แต่ด้วยปัจจัยเรื่องต้นทุนมีการปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนและภาคเอกชนจึงไม่ได้มีการขยายการผลิต หรือ ขยายธุรกิจมากนัก
สำหรับประเทศไทยนั้น เราน่าจะได้รับผลดีจากการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้บ้าง เนื่องจากการลดดอกเบี้ยจะทำให้ภาคธุรกิจมีเงินทุนมากขึ้น และจะส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าและบริการในราคาที่ถูกลง ซึ่งน่าจะทำให้การนำเข้าส่งออกของเคนยามีการขยายตัวมากขึ้นกว่าในปี 2024 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ต้นทุนในด้านอื่นที่ปรับขึ้น จะทำให้ผู้นำเข้ามีความระมัดระวังในการสั้งชื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งคงต้องติดตามผลกระทบในเรืองนี้ว่าเป็นอย่างไรต่อไป
ผู้ส่งออกที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ E-mail: ของสำนักงานฯ ที่ info@ocanairobi.co.ke
ที่มา : www.reuters.com
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ธนาคารกลางเคนยาเริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย หวังกระต้นภาคเอกชนลงทุนเพิ่ม