ในปี 2565 ภาพรวมตลาดเทียนทั่วโลกมีมูลค่า 12.88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ตลาดเทียนหอมทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 556 ล้านเหรียญสหรัฐ จากwww.grandviewresearch.com เว็บไซต์วิจัยข้อมูลการตลาดประเทศสหรัฐฯ เผยว่า ในปี 2566 จนถึงปี 2573 นั้น ตลาดเทียนทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.7 ต่อปี ส่วนตลาดเทียนหอมทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 4.1 ต่อปี
ปัจจุบันทวีปอเมริกาเหนือถือครองตลาดเทียนหอมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดกว่าร้อยละ 33 สำหรับประเทศที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด คือ ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงถึง 145 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากเหตุการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทุกคนต้องกักตัวอยู่บ้าน ส่งผลให้ชาวอเมริกันส่วนมากโดยเฉพาะรุ่นมิลเลนเนียล (ช่วงอายุระหว่าง 27-42 ปี) เริ่มหันมาใช้เทียนหอมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในการดูแลตนเอง และที่พักอาศัยเพิ่มมากขึ้น หรือการนำเทียนหอมมาประดับตกแต่งให้บ้านพักให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งประการที่ขับเคลื่อนตลาดเทียนหอมให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการนำเทียนหอมมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น อาทิ ธุรกิจบริการสปา และธุรกิจบริการนวดรวมถึงธุรกิจโรงแรมหลายแห่ง มักนำเทียนหอมกลิ่นต่างๆมาสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับลูกค้า นอกจากนี้ แหล่งธุรกิจต่างๆยังได้นำเทียนหอมมาตกแต่งสถานที่ของตนให้มีกลิ่นหอม สะอาด มีเอกลักษณ์ และมีชีวิตชีวา เพื่อสร้างบรรยากาศ และความประทับใจให้แก่ลูกค้า และผู้คนที่ผ่านมาพบเห็น รวมทั้ง ยังมีการใช้เทียนผสมน้ำมันหอมระเหยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้าน Aroma Therapy หรือกลิ่นบำบัดเพื่อสุขภาพ เนื่องจากกลิ่นหอมบางอย่างได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถบรรเทาอาการปวดหลัง ข้อเข่าเสื่อม ปวดศีรษะ และอาการวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี
จากรายงานของ National Candle Association (NCA) บริษัทผู้ผลิตเทียนรายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
เผยว่า 35 เปอร์เซ็นต์ของการขายเทียนทั่วไปและเทียนหอมจะเกิดขึ้นในช่วงพิธีเฉลิมฉลอง พิธีกรรมทางศาสนา เทศกาลคริสต์มาส เทศกาลฮาโลวีน และเทศกาลอื่นๆ เป็นต้น โดยเฉพาะตลาดเทียนหอมที่ในช่วงพิธีเฉลิมฉลองหรือเทศกาลดังกล่าวจะมีอัตราการขยายตัวมากขึ้นทุกปี จากแต่ก่อนที่เทียนหอมนิยมใช้ในสถานที่ทึบ หรือเฉพาะกิจกรรมตอนกลางคืน ปัจจุบันเทียนหอมถูกนำมาใช้เพื่อจัดกิจกรรมตอนกลางวัน และกิจกรรมกลางแจ้ง จึงทำให้เทียนหอมเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเทียนหอมจัดเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ง่ายและมีจำหน่ายทั่วไปตามร้านค้าปลีกต่างๆ รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และช่องทางออนไลน์
ใน ปี 2565 ที่ผ่านมา เทียนหอมที่ขายดีที่สุด คือ เทียนหอมที่ถูกบรรจุในภาชนะแก้วที่มีฝาปิดมิดชิด
โดยเทียนหอมชนิดนี้ มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 57 เปอร์เซ็นต์จากกลุ่มเทียนหอมทั้งหมด สืบเนื่องมาจากที่ลูกค้าสามารถเลือกรูปแบบของภาชนะ ขนาด และกลิ่นให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
ผู้ผลิตเทียนหอมหลายราย ระบุว่า เทียนหอมที่ถูกบรรจุในภาชนะแก้วเหล่านี้เป็นเทียนหอมที่มีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าเทียนหอมที่ถูกในบรรจุในภาชนะอื่น ประกอบกับเทียนหอมชนิดนี้ถูกผลิตมาจากขี้ผึ้งพาราฟินเกรดพรีเมี่ยม และไส้ตะเกียงไฟเบอร์ธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ จึงช่วยกระจายกลิ่นไปทั่วห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถจุดไฟได้นานถึง 110 ชั่วโมง จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจ หากเทียมหอมชนิดนี้จะได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐฯ
จากผลสำรวจของ www.grandviewresearch.com พบว่า กลิ่นของเทียนหอมที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ได้แก่ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นสมุนไพร กลิ่นตามเทศกาล และกลิ่นตามฤดูกาล โดยกลิ่นเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาตัวเลือกที่เหมาะกับบรรยากาศหรือรสนิยมส่วนตัวของตนได้เป็นอย่างดี
เว็บไซต์สื่อออนไลน์ที่เปิดสอนชาวอเมริกันเกี่ยวกับงานอดิเรกจากประเทศสหรัฐฯ www.newhobbybox.com รายงานว่า กลิ่นที่ขายดีที่สุดในสหรัฐฯ อันดับ 1 ของเทียนหอม คือ กลิ่นวานิลลา โดยมียอดขายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11 อันดับ 2 คือ กลิ่นซีตรัส และกลิ่นมะนาว คิดเป็นร้อยละ 10 อันดับ 3 มี 2 กลิ่น คือ กลิ่นกุหลาบ และกลิ่นลาเวนเดอร์ คิดเป็นกลิ่นละร้อยละ 8 อันดับ 4 คือ กลิ่นฟักทอง คิดเป็นร้อยละ 7 และอันดับ 5 มี 2 กลิ่น คือ กลิ่นมะพร้าว และกลิ่นแครนเบอร์รี่ คิดเป็นกลิ่นละร้อยละ 4 จากกลิ่นทั้งหมด
สำหรับกลิ่นที่ถูกโหวตให้เป็นกลิ่นที่ดีที่สุด 3 กลิ่น โดยชาวอเมริกัน ได้แก่ กลิ่นวานิลลา เนื่องจากกลิ่นวานิลลาเป็นกลิ่นที่มีกลิ่นหอมอบอุ่น นอกจากนี้กลิ่นวานิลลายังเป็นกลิ่นที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยในเรื่องของปลอมประโลมจิตใจ บรรเทาความเครียด และความวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี
อันดับ 2 คือ กลิ่นกุหลาบ และกลิ่นลาเวนเดอร์ เพราะสองกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ถูกโหวตว่าเป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสงบ เบาสบาย และผ่อนคลาย อีกทั้งยังช่วยสร้างบรรยากาศอันแสนโรแมนติกอีกด้วย
และกลิ่นซีตรัส ซึ่งเป็นกลิ่นที่ผู้ใดได้ดมแล้วจะรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว เหมือนได้เติมพลังนั่นเอง
อย่างไรก็ดี นอกจากกลิ่นที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น กลิ่นที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ กลิ่นที่แสดงถึงความหรูหรา เฉกเช่นเวลาที่เราได้เดินเข้าไปตามโรงแรม 5 ดาว หรือสถานที่ Hi-End ต่างๆ เรามักจะได้กลิ่นแห่งความหรูหราจากสถานที่เหล่านั้น อาทิ กลิ่นจากต้น Aquilaria กลิ่นจากต้น Madagascar และกลิ่น Truffle เป็นต้น
ความคิดเห็นของสคต.นิวยอร์ก
ปัจจุบัน ชาวอเมริกันหันมาดูแลตนเอง และสนใจซื้อสินค้าในกลุ่ม Wellness เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เทียนหอมได้รับความนิยม และมีโอกาสเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มนิยมบริโภคสินค้าในกลุ่ม Wellness ของชาวอเมริกันนั้นยังนับว่าเป็นโอกาสที่เทียนหอมไทยจะเข้ามาเจาะตลาดในสหรัฐฯได้ เนื่องจากสินค้าไทยเป็นสินค้าที่มีศักยภาพสูง มีเอกลักษณ์ กลิ่นแปลกใหม่ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี หากผู้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาจุดเด่นและคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวอเมริกันได้ เทียนหอมจะมีโอกาสอีกมากในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ
ที่มา : Candle Market Size, Share & Trends Analysis Report, 2030 (grandviewresearch.com) / Scented Candles Market Size, Share & Trends Report, 2030 (grandviewresearch.com) /
What Candle Scent Is Most Popular? The Sweetest of Them All – New Hobby Box
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ตลาดเทียนหอมในสหรัฐฯ