หน้าแรกTrade insightเคมีภัณฑ์และพลาสติก > ตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในสหรัฐฯ

ตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในสหรัฐฯ

ในยุคปัจจุบันที่มลพิษสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างชัดเจน ทำให้ชาวอเมริกันหันกลับมาดูแลสุขภาพ รวมถึง รูปร่างหน้าตา โดยเฉพาะผิวพรรณกันมากขึ้น ซึ่งพบว่าชาวอเมริกันปัจจุบันเริ่มดูแลผิวพรรณตั้งแต่อายุยังน้อยเมื่อเทียบกับคนในยุคก่อน SKIN CARE หรือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว จึงกลายมาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีบทบาทสำคัญ และมีแนวโน้มว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากรายงานของ Statista ระบุว่า ตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเติบโตขึ้นอย่างมากในตลาดโลก ซึ่งพบว่าในปี 2565 รายได้รวมของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ อยู่ที่ 1.53 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการตลาดเป็นอันดับ 1 มียอดขายอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับอันดับ 2 เป็นประเทศญี่ปุ่น มียอดขายอยู่ที่ 1.78 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 ตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะสามารถทำรายได้สูงถึง 1.87 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าประเทศสหรัฐฯ จะมียอดขายในตลาดประมาณ 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ทำยอดขายได้มากที่สุดในสหรัฐฯในปีที่ผ่านมา คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวหน้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า (Facial Cleansers) ผลิตภัณฑ์ดูแลริ้วรอย (Facial Anti-Aging) ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้น (Facial Moisturizers) และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสิว (Acne Treatments) ตามลำดับ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกายให้อ่อนเยาว์ หรือ Body Anti-Aging เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้ได้น้อยที่สุด

สำหรับบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ครองส่วนแบ่งทางตลาดเป็นลำดับต้นของสหรัฐฯ ได้แก่ บริษัท L’Oreal บริษัท Unilever ตามมาด้วย บริษัท Estee Lauder บริษัท P&G และบริษัท Shiseido ตามลำดับ

แนวโน้มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ในขณะนี้ และคาดการณ์ว่าจะทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น ได้แก่

  1. Multifunctionality Movement หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมและคุณสมบัติที่หลากหลายในขวดเดียว
  2. Skin Type Personalization หรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกให้เหมาะต่อสภาพผิวส่วนบุคคลตามความต้องการได้
  3. Dermatologist Product หรือผลิตภัณฑ์ที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ
  4. Waterless Beauty หรือผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณน้อย เพื่อให้สามารถซึบซับได้ดี
  5. Longer-Lasting Results หรือผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนและยั่งยืน

เว็บไซต์ L’OFFICIEL USA เว็บไซต์แฟชั่นชื่อดัง เผยว่า จากผลสำรวจคนอเมริกันกว่า 15,000 คน พบว่า Gen Z (ช่วงอายุ 9-24ปี) เป็นกลุ่มผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของผลิตภัณฑ์นี้ และ Gen Z ในกลุ่มนี้กว่าร้อยละ 38 มีค่าเฉลี่ยการซื้อสินค้าอยู่ที่ 21-50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ร้อยละ 37 มีการซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ 10-20 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ร้อยละ 10 มีการซื้อเฉลี่ยอยู่ที่น้อยกว่า 10 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ร้อยละ 8 มีการซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ มากกว่า 150 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และร้อยละ 7 มีการซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ 51-100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้ยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มาจาก  “สื่อประชาสัมพันธ์”  เนื่องจากอิทธิพลทางสื่อเป็นตัวกระตุ้นสำคัญต่อความต้องการซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสื่อออฟไลน์ เช่น ป้ายโฆษณา โฆษณาแผ่นพับ โฆษณาทางวิทยุ/โทรทัศน์ เป็นต้น หรือสื่อออนไลน์ทางช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น อินสตาแกรม เฟสบุ๊ค และ ติ๊กต๊อก

นอกจากนี้ บทบาทของ Influencer หรือคนมีชื่อเสียงนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการตลาดและทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น เห็นได้จากการสำรวจที่พบว่าชาวอเมริกัน ร้อยละ 37 รู้จักสินค้าใหม่ๆผ่านสื่อออนไลน์ และร้อยละ 42 ของผู้บริโภคซื้อตามดาราหรือคนมีชื่อเสียงผ่าน Social Media

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คนมีชื่อเสียงหลายคนจึงหันมาจับธุรกิจ Skin Care ในฐานะเจ้าของและพรีเซ็นเตอร์มากขึ้น อาทิ Kylie Jenner
ไฮโซสาวชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองในปี  2558 จนสามารถต่อยอดและเพิ่มสินค้าหลากหลายชนิด รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้สำเร็จใน ปี 2562 ซึ่งการสร้างแบรนด์ของ Kylie Jenner ครั้งนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่บรรดาคนดังคนอื่นๆ เช่น Rihanna Robyn ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Fenty Skin ในปี 2563  หรือแม้กระทั่ง Jennifer Lopez ที่เพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ JLo Beauty ของเธอเองเมื่อปี 2565

ความคิดเห็นของสคต. นิวยอร์ก

ปัจจุบัน ไม่เพียงแค่ชาวอเมริกัน แต่ยังพบว่าผู้คนทั่วโลกต่างหันมาสนใจและดูแลตัวเองให้ดูดีตลอดเวลา ตลาด Skin Care จึงเป็นตลาดที่น่าจับตามองและมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีแบรนด์มากมายเกิดขึ้น แต่ก็ยังโอกาสสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของไทยที่ดีมีคุณภาพอยู่เสมอ โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากชาวอเมริกันเปิดกว้างและอยากที่จะลองสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น หากผู้ประกอบการไทยหรือผู้ที่สนใจอยากขยายตลาดมาสู่สหรัฐฯ ควรศึกษากลุ่มเป้าหมายของสินค้าให้ชัดเจน ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งวางแผนการเข้าสู่ตลาดอย่างมีศักยภาพ ตลอดจนศึกษามาตารฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สินค้าไทยจะสามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

www.statista.com / www.forbes.com / www.lofficielusa.com / www.vogue.com / www.mintel.com

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)

Login