หน้าแรกTrade insightธุรกิจ Logistics > การประเมินเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจากราคากระดาษลัง

การประเมินเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจากราคากระดาษลัง

การขึ้นราคาของอุตสาหกรรมกระดาษแข็ง (Cardboard) ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะดีขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางคนได้ให้ความเห็นว่า อาจจะยังเร็วไปที่จะสรุปว่าเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีการขึ้นราคาอีกหรือไม่ หรืออาจเป็นเพียงแค่การปรับราคาชั่วคราวจากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19

 

ผู้ผลิตกระดาษหนาที่ใช้ทำกล่องส่งของกำลังจะขึ้นราคาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่า มีแนวโน้มของการเลิกกักตุนสินค้าแล้ว เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง จึงทำให้มีการกักตุนกระดาษแข็งเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของราคากระดาษแข็งก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวขึ้น

 

ผู้ผลิตกระดาษแข็งรายใหญ่ในสหรัฐฯ อย่างบริษัท International Paper บริษัท WestRock และบริษัท Packaging Corp ต่างบอกว่าจะมีการเพิ่มราคาของ Containerboard ในวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่ง Containerboard เป็นกระดาษแข็งซึ่งเป็นวัตถุดิบหนึ่งในการผลิตกระดาษลูกฟูก (Corrugated Cardboard)

 

ส่วนราคาของ Linerboard หรือแผ่นกระดาษที่ใช้สำหรับหุ้มรอบนอกของกล่องจะเพิ่มขึ้นจาก 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนกระดาษลูกฟูกที่อยู่ตรงกลาง (Corrugated Cardboard) เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล่องจะเพิ่มขึ้นจาก 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยการเพิ่มขึ้นของราคากระดาษลังจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 9 และในปัจจุบันราคาของกระดาษแข็งชนิดเรียบไม่ฟอกขาวหนัก 42 ปอนด์ (42-pound Unbleached Kraft Linerboard) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษและบรรจุภัณฑ์ได้เพิ่มขึ้นมาร้อยละ 9 จากที่ถูกตรึงราคาไว้ที่ 825 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในเดือนพฤศจิกายน 2566

 

นาย Greg Rudder บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร Pulp & Paper Week ให้ความเห็นว่า เป็นสิ่งผิดปกติที่ราคาของกระดาษแข็งจะเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ของปี เพราะความต้องการของสินค้ามักจะลดลงหลังช่วงวันหยุด แต่สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่ามีความต้องการของสินค้าเพิ่มขึ้นและมีปริมาณของสินค้าคงคลังน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

ผู้ผลิตกระดาษแข็ง Containerboard ได้มีการลดราคาอยู่หลายครั้งนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคม 2565 เนื่องจากมีความต้องการลดลงในช่วงโควิด-19 และปริมาณสินค้าที่เหลือจากการผลิตเดิมยังอยู่ในระดับที่เพียงพอ อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยได้เกิดขึ้นพร้อมกับช่วงเร่งลดสินค้าคงคลังของธุรกิจต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้าคงคลังที่สะสมในช่วงโควิด-19 เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานชะงัก ดังนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าก็สูงขึ้น จึงทำให้กลุ่มผู้ผลิตต้องลดการผลิตและระบายสต๊อกสินค้า และเมื่อสินค้าคงคลังเก่าได้ลดลงแล้ว จึงเริ่มมีการผลิตใหม่

 

หากราคาของกระดาษแข็งมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตจะมีอำนาจในการกำหนดราคาอีกครั้งหนึ่งหลังจากต้องลดราคาสินค้าลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากได้มีการประกาศว่าจะขึ้นราคาสินค้า ราคาหุ้นของผู้ผลิตรายใหญ่พุ่งขึ้นในปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ในปีที่ 2565 ผ่านมาผู้ผลิตกระดาษแข็งได้ชะลอการผลิตในโรงงานและกำจัดสินค้าคงคลังที่เก็บไว้สำหรับความต้องการในช่วงล็อคดาวน์ที่การซื้อขายออนไลน์เติบโตขึ้นมาก ทำให้สินค้าคงคลังของโรงงานผลิตกระดาษแข็งและโรงงานผลิตกล่องในสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ 2.59 ล้านตัน ลดลงจาก 3 ล้านตันในช่วงเวลากันของปี2565 หรือลดลงร้อยละ 14

 

กลุ่มผู้ผลิตกล่าวว่า ในขณะนี้มีความต้องการสินค้ามากขึ้นและต้นทุนในการผลิตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงทำให้ลูกค้าต้องจ่ายมากขึ้นสำหรับบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูก ทั้งบริษัท International Paper บริษัท WestRock และบริษัท Packaging Corp ต่างบอกว่า การจัดส่งกระดาษแข็งมีการเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา

 

นาย Mark Sutton ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท International Paper ผู้ผลิตกระดาษแข็งกล่าวในการประชุมผู้ถือหุ้นว่า อุตสาหกรรมต่างๆ มีการเติบโตมากขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ยอดขายสินค้าคงทนบางอย่างลดลง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น แต่ปริมาณการซื้อขายออนไลน์ยังคงมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นาย Michael Roxland นักวิเคราะห์จากบริษัท Truist Securities วาณิชธนกิจในสหรัฐฯ กล่าวว่า หากเทียบแล้วความต้องการของกระดาษแข็งใน 6 เดือนก่อนยังมากกว่าความต้องการในปัจจุบัน แม้ว่าโดยรวมจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษแข็ง แต่เศรษฐกิจในปัจจุบันยากที่จะคาดการณ์ และยังมีสัญญาณอื่นๆ ในการชี้วัดเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีมากนัก

 

แม้ว่ายอดขายของกระดาษลังจะเป็นตัวชี้วัดที่แปลกสำหรับชี้วัดเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีน้ำหนักในการอธิบายเศรษฐกิจมากกว่าความยาวของชายกระโปรง ยอดขายลิปสติก และยอดขายชุดชั้นในชายตามที่นาย Alan Greenspan อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ ได้วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าชุดชั้นในชายเป็นสิ่งแรกที่ถูกตัดจากการใช้จ่ายของครัวเรือน

 

สินค้าในทุกวันนี้ได้ใช้บรรจุภัณฑ์จากกระดาษแข็ง ตั้งแต่พิซซ่าไปจนถึงเตาอบ ถึงแม้รถยนต์จะไม่ได้ถูกขายด้วยบรรจุภัณฑ์จากกระดาษแข็ง แต่ชิ้นส่วนรถยนต์ได้บรรจุในกระดาษลังเพื่อขนส่งมาที่โรงงานประกอบรถยนต์ ดังนั้น เมื่อราคากระดาษแข็งสูงขึ้น ต้นทุนการผลิตของสินค้าสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

นาย Jeffrey Kleintop หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุน Charles Schwab กล่าวว่า เมื่อต้นปี 2566 เป็นช่วงภาวะถดถอยของอุตสาหกรรมกล่องกระดาษ เนื่องจากมีปริมาณการผลิตและปริมาณการซื้อขายต่ำ รวมถึงราคาของกล่องกระดาษต่ำ ทั้งๆ ที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแรง โดยมองว่า ปัจจุบันผู้บริโภคหันไปใช้จ่ายกับสินค้าบริการมากขึ้น เช่น การล่องเรือ คอนเสิร์ต เป็นต้น แทนการใช้จ่ายกับสินค้าที่บรรจุด้วยกล่อง ดังนั้น การขี้นราคาของกล่องกระดาษอาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวมากขึ้น

 

ข้อเสนอแนะของสคต. นิวยอร์ก

กระดาษลังได้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของห่วงโซ่อุปทาน ทุกอุตสาหกรรมได้ใช้กระดาษลังในการจัดส่งสินค้าเพื่อการผลิตและการจัดส่งสินค้าให้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะการซื้อขายออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างมาก ดังนั้น ราคากระดาษแข็งที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่ากำลังฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยและผู้ส่งออกไทยที่ต้องคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจในสหรัฐฯ สำหรับการวางแผนการดำเนินงานและแผนกลยุทธ์ธุรกิจให้ทันตามการเปลี่ยนแปลง

 

ข้อมูลอ้างอิง: The Wall Street Journal

 

อ่านข่าวฉบับเต็ม : การประเมินเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจากราคากระดาษลัง

Login