หน้าแรกTrade insightวัสดุก่อสร้าง > กฎหมายกักเก็บ CO2 จะมีผลบังคับใช้

กฎหมายกักเก็บ CO2 จะมีผลบังคับใช้

ก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างกลุ่ม Union ที่ประกอบด้วยพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) และพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) จะเริ่มเข้ารับตำแหน่งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ได้มีการตัดสินใจร่วมกันครั้งสำคัญในบางเรื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Andreas Jung รองประธานพรรค CDU ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ว่า “พระราชบัญญัติการกักเก็บและขนส่ง CO2 ควรจะหาข้อสรุปให้ได้ก่อนปิดเทอมฤดูร้อนนี้” ด้านโฆษกนโยบายสภาพภูมิอากาศและพลังงานของกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งพรรค CDU ได้อธิบายว่า สำหรับประเทศอุตสาหกรรมที่ต้องการเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ CCS นั้น ถือเป็นเรื่องหรือส่วนเสริมที่จำเป็นสำหรับการลดการสร้างค่า CO2 อย่างต่อเนื่อง ด้านนาย Sebastian Roloff นักการเมืองผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจากพรรค SPD เห็นด้วยว่า “อิงตามข้อเสนอของรัฐบาลชุดก่อนจากช่วงการประชุมสภาครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนรัฐบาล ข้อตกลงระหว่างพรรค CDU/CSU น่าจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว” นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนเนื่องจากบริษัทหลายแห่งได้จัดทำโครงการและเตรียมดำเนินการในเรื่องนี้เอาไว้แล้วและสามารถเริ่มต้นดำเนินการได้ในทันที โดยกระบวนการการจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS – Carbon Capture and Storage) บนพื้นดินหรือในท้องทะเล ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรม และมีจุดประสงค์หลักเพื่อปกป้องรักษาสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะบริษัทที่ใช้พลังงานจำนวนมากต่างก็หวังว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะสามารถช่วยให้พวกเขาลดการสร้างค่าคาร์บอนได้ เพราะพวกเขาได้รับแรงกดดันอย่างหนักให้ต้องเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของตน เนื่องจากราคาที่จะถูกเรียกเก็บในการสร้างค่า CO2 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ EU สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2045 สำหรับบางอุตสาหกรรมการเปลี่ยนรูปแบบการใช้เชื้อเพลิง เพื่อให้เป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ เช่น ไฮโดรเจน นั้น ถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ทั้งในทางเทคนิคและทางการเงิน ดังนั้น CCS จึงถือเป็นทางเลือกเดียวของพวกเขา อย่างไรก็ตาม โดยพฤตินัยแล้ว ในปัจจุบันเยอรมนีการใช้งาน CCS ถูกห้ามใช้โดยรัฐบาลชุดก่อนก็ได้เสนอกฎหมายที่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามการแตกหักของรัฐบาลในช่วงแรกทำให้ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้นำมาผ่านสภา ขณะนี้พรรค CDU/CSU และ SPD กำลังพยายามครั้งใหม่อีกครั้ง นาย Jung อธิบายว่า อย่างไรก็ตามในช่วงก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนรัฐบาล “ในการเตรียมออกกฎหมายภาคนิติบัญญัติก็สามารถนำข้อกฎหมายมาปรึกษาหารืออย่างครอบคลุมในช่วงระยะเวลาที่ภาคนิติบัญญัติยังมีอำนาจในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายได้”  ในเวลาเดียวกันพรรค CDU/CSU และ SPD ต้องการเริ่มวางแผนสำหรับการสร้างเครือข่ายการขนส่ง CCS เพื่อที่จะถูกนำไปใช้ในการขนส่ง CO2 ที่ถูกจัดเก็บจากบางอุตสาหกรรมไปยังสถานที่จัดเก็บ นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเผชิญกับความท้าทายในงานสร้างเครือข่ายหลักสำหรับขนส่งไฮโดรเจนที่กำลังจะเริ่มต้นในเวลาเดียวกันอีกด้วย นาย Jung นักการเมืองพรรคพูดถึงเรื่องดังกล่าวว่า เป็น “เส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของประเทศ” ดังนั้นจำเป็นจะต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจนอย่างโปร่งใสตั้งแต่เริ่มต้น

 

กลุ่มสหภาพได้วิพากษ์วิจารณ์แผนการสร้างเครือข่ายไฮโดรเจนของรัฐบาลชุดก่อนหน้าอย่างหนัก และต้องการขยายโครงข่ายไฮโดรเจนซึ่งมีความยาวมากกว่า 10,000 กิโลเมตร โดยคาดว่า จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 20,000 ล้านยูโร ออกไปอีก โดยเฉพาะทางตอนใต้ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเพิ่มเติมจะถูกเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายดังกล่าว นาย Roloff เรียกร้องให้มีการ “ประสานงานร่วมกับเครือข่ายไฮโดรเจนหลักของประเทศให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการสร้างโครงสร้าง CCS” เมื่อปีที่แล้ว สมาคมโรงงานปูนซีเมนต์แห่งเยอรมนี (VDZ – Der Verein Deutscher Zementwerke) ได้กำหนดว่า จะสร้างเครือข่ายการจัดเก็บ CO2 ผ่านระบบ CCS ที่มีความยาว 4,800 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ และปูนขาว รวมถึงสถานที่เผาขยะในเยอรมนี ยอดการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 14 พันล้านยูโร นาย Jung กล่าวว่า “เมื่อพูดถึงเครือข่ายการขนส่ง CO2 เราจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์จากการอภิปรายที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายไฮโดรเจนหลักอีกด้วย” เครือข่ายการขนส่ง CO2 จึงมีแนวโน้มที่จะมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น พันธมิตรรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการที่จะให้ CCS มีความสำคัญมากกว่ารัฐบาลชุดก่อนได้วางแผนไว้ ข้อตกลงร่วมระบุว่า CCS ควรนำไปใช้ “สำหรับการลดการสร้างมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ” รัฐบาลชุดก่อนต้องการอนุญาตให้ใช้ CCS เฉพาะสำหรับภาคส่วนที่มีการปล่อยมลพิษที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น เรียกได้ว่า ผู้ผลิตปูนซีเมนต์และปูนขาว รวมถึงบริษัทจัดการขยะแทบจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กระบวนการ CCS เพื่อที่จะสามารถทำให้ตนสามารถเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศได้ ลูกพรรคบางส่วนของพรรค SPD ไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงจากแผนที่ได้ตั้งไว้ในรัฐบาลชุดก่อน ดังนั้นข้อความใน MOU เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับ CCS จึงมีความขัดแย้งในกลุ่มการหารือทางเศรษฐกิจ และพลังงาน อย่างไรก็ตาม หัวหน้าคณะเจรจาระหว่างพรรค CDU/CSU และ SPD ก็ตกลงที่จะเปิดการใช้งาน CCS กว้างออกไป ขณะนี้เป็นไปได้ที่โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซแห่งใหม่ และอุตสาหกรรม เช่น เหล็กกล้าและสารเคมี อาจจะสามารถร่วมใช้งานเครือข่าย CCS ได้ด้วย ในแวดวงรัฐสภา กล่าวกันว่า ยังคงคาดว่าจะเกิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นรูปธรรมอยู่ กลุ่ม สส. SPD อาจต้องการจำกัดการเปิดใช้งาน CCS สำหรับโรงไฟฟ้า และภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ทำได้แต่ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้คำถามที่ว่า จะจัดเก็บ CO2 ที่จับได้ไว้ได้ที่ไหนก็ยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ โดย CO2 ส่วนใหญ่คงจะส่งไปจัดเก็บไว้ที่ประเทศนอร์เวย์ อย่างไรก็ตามพรรค CDU/CSU และ SPD ยังต้องการเปิดให้สามารถใช้การจัดเก็บ CO2 ภายในประเทศให้ได้อีกด้วย ทำให้มีการเล็งเห็นว่า ควรใช้งาน “เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ – exclusive economic zone)” โดย EEZ เป็นส่วนหนึ่งของทะเลเหนือ และทะเลบอลติกในดินแดนของเยอรมนีที่อยู่นอกเหนือน่านน้ำอาณาเขต นอกจากนี้ข้อตกลงร่วมยังกำหนดว่ารัฐบาลของแต่ละรัฐสามารถอนุญาตให้มีการจัดเก็บบนแผ่นดินใหญ่ได้ด้วย นาย Jung กล่าวจริงจังว่า “เรื่องดังกล่าวเป็นคำถามที่ละเอียดอ่อนมาก” จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณจากประเทศต่าง ๆ ว่ามีใครเต็มใจที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นาย Jung ไม่ตัดความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงนี้ออกไป โดยกล่าวว่า “มีศูนย์อุตสาหกรรมที่สามารถจัดการหารืออย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อที่จะได้นำเรื่องการจัดเก็บดังกล่าวมาเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของพวกเขา”

 

จาก Handelsblatt 19 พฤษภาคม 2568

อ่านข่าวฉบับเต็ม : กฎหมายกักเก็บ CO2 จะมีผลบังคับใช้

Login