ในวันที่ 30 พ.ย ปี 2566 กรมส่งเสริมการค้าเวียดนาม กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (the Ministry of Industry and Trade: MoIT) ได้จัดการประชุมออนไลน์ที่หารือเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพมไปยังแอฟริกาและตะวันออกกลาง
นางสาว Nguyen Minh Phuong ผู้อำนวยการสำนักงานเอเชียตะวันตก – แอฟริกา กรมการตลาดเอเชีย-แอฟริกา กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวีดยนาม (MoIT) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศในตะวันออกกลางต้องนำเข้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคมากถึงร้อยละ 80 หรือเทียบเท่ากับ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในขณะที่ประเทศในแอฟริกาก็นำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับตัวเลขดังกล่าวทุกปี อีกทั้งข้อกำหนดด้านคุณภาพและการออกแบบผลิตภัณฑ์ของตลาดเหล่านี้ ไม่ได้เข้มงวดมากเกินไป
ตัวแทนของสำนักงานการค้าเวียดนามในไนจีเรียย้ำว่า ไนจีเรียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าเวียดนามในฐานะประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในแอฟริกาและเป็นตลาดผู้บริโภคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การบริโภคของไนจีเรียคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 150 เป็น 603,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2573 จาก 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2566 นอกจากนี้ตัวแทนของสำนักงานการค้าเวียดนามในไนจีเรียแล้วเพิ่มเติ่มว่าไนจีเรียอาจจะเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2567 ด้วยปริมาณรวมประมาณ 2.1 ล้านตัน ให้ผู้ส่งออกสินค้าควรระมัดระวังในการทำธุรกรรมทางการค้ากับคู่ค้าในทวีปแอฟริกาและภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยกล่าวว่าความเสี่ยงในการชำระเงินเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึง ผู้ประกอบการควรเลือกวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัย เช่น เล็ตเตอร์ออฟเครดิต (letter of credit: L/C) เพื่อหลีกเลี่ยงการฉ้อโกง
นาย Truong Xuan สำนักงานการค้าเวียดนามในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates: UAE) กล่าวว่า สินค้าเวียดนามทั้งหมดสามารถส่งออกไปยังตลาดนี้ได้หากเป็นไปตามมาตรฐาน โดยสังเกตว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งระดับภูมิภาคและระดับโลก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะส่งออกต่อสินค้า (Re-export) จากตลาดนี้ เวียดนามเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และในกลุ่มประเทศอาเซียน ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มขึ้น (ร้อยละ 60) ข้าว (ร้อยละ 30.9) ผักและผลไม้ (ร้อยละ 18) และชาของเวียดนาม (ร้อยละ 15.4) ซึ่งสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น สินค้าเวียดนามแม้จะไม่มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ก็ยังสามารถแข่งขันในตลาดนี้ได้ อีกทั้ง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf cooperation Councill: GCC) ดังนั้นสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ยังสามารถส่งออกไปยังประเทศกลุ่ม GCC ด้วย
(จาก https://en.vietnamplus.vn/)
ข้อคิดเห็น สคต
UAE เป็นศูนย์กลางทางการค้าในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติในการเข้ามาลงทุน ทำให้ UAE จะเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่ยังคงมีศักยภาพและมีโอกาสอีกมากสำหรับการส่งออกสินค้าของเวียดนาม ส่วนทวีปแอฟริกาเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีโอกาสในการเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า มีประชากรมากกว่า 1.2 พันล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานรุ่นใหม่ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 การค้าระหว่างทวีปแอฟริกาและเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 เป็น 4350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยการส่งออกหลักของเวียดนามไปยังทวีปแอฟริกา ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรม (โทรศัพท์มือถือและส่วนประกอบ สิ่งทอ เสื้อผ้าและรองเท้า) สินค้าเกษตร (ข้าว กาแฟ เมล็ดพืช พริกไทย ข้าวมะพร้าวและเม็ดมะม่วงหิมพานต์) ผลิตภัณฑ์อาหารทะเล (ปลาสวาย ปลาบาซ่าและกุ้ง) วัสดุก่อสร้าง ซึ่งยังเป็นสินค้าที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวแอฟริกัน โดยเฉพาะในตลาดขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น แอฟริกาใต้ อียิปต์ กานา แอลจีเรีย ไอวอรี่โคสต์ ไนจีเรียและแคเมอรูน
อ่านข่าวฉบับเต็ม : เวียดนามมีโอกาสที่ดีในการส่งออกสินค้าเข้าตลาดทวีปแอฟริกาและภูมิภาคตะวันออกกลาง