กระแสการไม่บริโภคน้ำตาล (Zero Sugar) ในประเทศเกาหลีกับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
- ภาพรวม
การมีสุขภาพที่ดีหรือ Wellness กำลังเป็นกระแสนิยมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกรวมถึงประเทศเกาหลี ผู้บริโภคจากหลากหลายกลุ่มกำลังมองหาสินค้าอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และสอดคล้องกับวิธีการควบคุมอาหารและทางเลือกในการรับประทานอาหารของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริโภคสูงอายุที่ต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และผู้บริโภควัยหนุ่มสาวที่อยากเพลิดเพลินกับอาหารอย่างมีสติ โดยการบริโภคอาหารที่ปราศจากน้ำตาลและมีแคลลอรี่ต่ำ รวมถึงความต้องการที่ลงลึกไปถึงวัตถุดิบที่เพิ่มมูลค่าและมีคุณภาพดี ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตอาหารลดปริมาณน้ำตาลลง หรือเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการในสินค้าอาหารของตนเองมากขึ้น
- ประเด็นที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในปัจจุบัน
- การเติบโตของตลาดสินค้าสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลในระดับโลก
เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วน เบาหวาน และน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาบริโภคสินค้าปราศจากน้ำตาล Zero-sugar เพิ่มมากขึ้น ตลาดอาหารและเครื่องดื่ม Zero-sugar คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้น โดยจะมีอัตราการเจริญเติบโตของพอร์ตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CARG) ที่ร้อยละ 4.0 ภายในปี 2570 ซึ่งในปี 2565 มีมูลค่าสูงถึง 17.92 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องมาจากการเติบโตของตลาดสินค้าอาหารและเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาลที่ขยายตัวมากขึ้น ตลาดสินค้าสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลก็ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นควบคู่กัน จากมูลค่า 22 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็น 33.8 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2571 โดยอัตรา CARG ที่ร้อยละ 7.4 หลังจากปี 2566 เป็นต้นไป
- สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทั่วโลก
มีการรับรู้ในวงกว้างว่า กระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลทำให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ ในขณะที่การลดการบริโภคน้ำตาลมีส่วนช่วยในการรักษาธรรมชาติได้ เนื่องจากในกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย 1 กิโลกรัม ต้องใช้น้ำมากถึง 1,100 ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 0.42 กิโลกรัม หากสหภาพยุโรปปลูกป่าทดแทนการปลูกอ้อย จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จาก 20.9 MtCO22e จนถึงมากที่สุด 52.3 MtCO22e[1] กล่าวคือ สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างน้อยที่สุด 20,090,000 ตัน ถึงมากที่สุด 54,30,000 ตัน
- การพัฒนาสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล
สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนน้ำตาล เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพตลอดจนโรคต่างๆ อาทิ โรคอ้วนและโรคเบาหวานจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินพอดี ตัวอย่างสารดังกล่าว ดังนี้
สารให้ความหวานสังเคราะห์ | สารให้ความหวานจากธรรมชาติ | น้ำตาลธรรมชาติ | แอลกอฮอล์น้ำตาล |
ซูคราโลส(Sucralose)
แอสปาร์แตม(Aspartame) แซ็กคาริน/ดีน้ำตาล (Saccharine) |
น้ำตาลหญ้าหวาน (Stevia)
น้ำตาลหล่อฮังก้วย (Monk Fruit) |
ไซโลส (Xylose)
ทากาโตส (Tagatose) อัลลูโลส (Allulose) |
มอลทิทอล (Maltitol)
ไซลิทอล (Xylitol) อิริทริทอล ( Erythritol) |
สารให้ความหวานแบบผสมสังเคราะห์ | สารให้ความหวานจากธรรมชาติ หรือสารทดแทนความหวานของน้ำตาลที่สกัดได้จากใบหรือเมล็ดของพืช | น้ำตาลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ พบได้ในลูกมะเดื่อ ลูกเกด ข้าวสาลี
เมเปิ้ลไซรัป กากน้ำตาล และอื่นๆ |
แอลกอฮอล์น้ำตาลธรรมชาติที่พบในพืช |
หวานมากกว่าน้ำตาล 200 – 600 เท่า | หวานมากกว่าน้ำตาล 200 – 300 เท่า | หวานน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับน้ำตาล | หวานน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับน้ำตาล |
อย่างไรก็ตาม สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ น้ำตาลสังเคราะห์ ก็ส่งผลกระทบต่อน้ำตาลในเส้นเลือดเช่นกัน โดยการบริโภคน้ำตาลทางเลือกดังกล่าวฯ เป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายในทางที่ไม่ดี เช่น เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ และอื่นๆ เป็นต้น
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 องค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) ประกาศแนวทางใหม่สำหรับการงดใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพื่อรณรงค์การต่อต้านการใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลในการควบคุมน้ำหนักหรือลดความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้บริโภคลดการรับประทานหวานอย่างจริงจังเพื่อการรักษาสุขภาพระยะยาว
- พฤติกรรมผู้บริโภค
- การรับรู้ของผู้บริโภค
‘You are what you eat’ คือประโยคยอดฮิตที่มีความหมายว่าเราต้องรับประทานอาหารที่สมดุลและมีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอาหารที่เรารับประทานในทุกวัน โดยแสดงความหมายเป็นนัยว่า ร่างกายและสุขภาพของเราสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตและการเลือกรับประทานอาหารของเราเอง และสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของเราได้ ระหว่างช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผู้คนมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นและตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น จึงทำให้ผู้คนมีความต้องการที่จะมีสุขภาพที่ดี นำไปสู่กระแสการลดการบริโภคน้ำตาลในหมู่ผู้บริโภคเกาหลีที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศเกาหลีในปัจจุบันอย่างมาก
- การรับรู้ของผู้บริโภค
‘A Healthy Pleasure’[2] หรือความสุขที่ดีต่อสุขภาพ เป็นการผสมคำระหว่าง ‘สุขภาพ’ และ ‘ความสุข’ โดยกระแสความนิยมความพึงพอใจในสุขภาพสอดคล้องกับกระแส Zero Calorie ซึ่งเป็นการบริหารสุขภาพที่มีความสุขและแพร่หลายไปทั่วอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลก กล่าวคือ หากคุณหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวานไม่ได้ ก็ลองหาหนทางอื่นที่สามารถรับประทานได้อย่างสุขภาพดี เพื่อชักจูงให้ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพในระยะยาว โดยการลดหรือตัดอาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ อาทิ ไขมัน ความเค็ม น้ำตาล และอื่นๆ ในขณะที่ความต้องการบริโภคอาหารปราศจากน้ำตาลเพิ่มขึ้น ความต้องการแสวงหาสินค้าทดแทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วควบคู่กัน
- อาหารและเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาล (Zero-sugar)
- คำนิยามของอาหารและเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาล
Zero-sugar เป็นคำนิยามที่หมายถึง สิ่งที่ปราศจากน้ำตาล หรือปราศจากความหวาน และนิยามถึงความหวานจากธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างกระบวนการผลิตหรือการเพิ่มสารสังเคราะห์
คำนิยาม | คำนิยามในภาษาเกาหลี | ความหมาย | คำอธิบาย | น้ำตาล | น้ำตาลธรรมชาติ | เพิ่มน้ำตาล |
Zero-Sugar | 무설탕
(Moo Sultang) 무당 (Moo Dang) |
ปราศจากน้ำตาล, ไม่มีน้ำตาล | ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล และอาจเกิดความหวานจากธรรมชาติระหว่างกระบวนการผลิต หรือมีส่วนผสมของความหวานที่ได้จากการสังเคราะห์
(0.5g ต่อ 100g) |
X | O | O |
No sugar Added | 무가당
(Moo Ga Dang) |
ไม่เพิ่มน้ำตาล | กระบวนการผลิตอาหารโดยการย่อยเอนไซม์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำตาลสูงอย่างเดียว (ไม่ใช้น้ำตาลหรือสารให้ความหวานใดๆ มีเพียงน้ำตาลจากธรรมชาติเท่านั้น) | X | O | X |
ในอดีต ประเทศเกาหลี ก็ใช้มาตรฐานในการจำแนกอาหารที่ปราศจากน้ำตาลและอาหารที่ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน หากสินค้าในขั้นตอนสุดท้ายมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 0.5g ต่อ 100 กรัม อย่างไรก็ตาม กระทรวงด้านความปลอดภัยอาหารและยาของประเทศเกาหลี หรือ Ministry of Food and Drug Safety (MFDS) ได้ปรับปรุงมาตรฐานฉลากเพื่อให้เกิดสิทธิในการเลือกซื้อแก่ผู้บริโภคด้วยข้อมูลของสินค้าที่ถูกต้องและมาตรฐานของฉลากสินค้าในระดับสากล
- อาหารและเครื่องดื่มปราศจากน้ำตาล หรือน้ำตาลต่ำ
ผู้บริโภคเกาหลีชื่นชอบการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานและมีรสชาติ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการเลือกซื้อสินค้าที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพน้อย ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับธรรมชาติในระยะยาว ส่งผลให้ความต้องการอาหารปราศจากน้ำตาลหรือน้ำตาลน้อยเพิ่มขึ้นแม้สินค้าบางยี่ห้อจะมีราคาสูง จึงทำให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกระตือรือร้นในการพัฒนาอาหารโดยใช้น้ำตาลทางเลือก
อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศเกาหลี นิยมใช้น้ำตาลอัลลูโลส (Allulose)[3] แทนการใช้น้ำตาลหญ้าหวาน (Stevia) ที่มีรสชาติขมเล็กน้อยกว่าสารให้ความหวานประเภทอื่น และบริษัท CJ Cheil Jedang เริ่มผลิตแบบจำนวนมากตั้งแต่ปี 2558
อัลลูโลส (Allulose) | น้ำตาลหญ้าหวาน (Stevia) | ||||
CJ Cheil Jedang | Q-One | My Normal | AL Tist | Q-One | emart NoBrand |
4,900 วอน
/350 กรัม |
8,900 วอน
/490 กรัม |
9,190 วอน
/485 กรัม |
7,980 วอน
/400 กรัม |
6,800 วอน
/380 กรัม |
3,580 วอน
/180 กรัม |
ซอสปรุงรส | |||
ยี่ห้อ: My Normal (KETO Lifestyle)
แนวความคิด: ความอร่อยปราศตากน้ำตาล ปราศจากกลูเตน ลดการปรุงแต่งในอาหารเพื่อชีวิตที่สุขภาพดี |
|||
ซอสมะเขือเทศน้ำตาลต่ำ | ลดน้ำตาลร้อยละ 25 และใช้น้ำตาลอัลลูโลสและน้ำตาลหญ้าหวานแทน | 9,380 วอน
310 กรัม
|
|
มัสตาร์ด | ลดน้ำตาลลงร้อยละ 90 และใช้น้ำตาลอัลลูโลสและน้ำตาลหญ้าหวานแทน | 7,760 วอน
310 กรัม
|
|
มายองเนส | ปราศจากน้ำตาล และแคลลอรี่ต่ำ | 11,300 วอน
260 กรัม
|
เบียร์และโซจูปราศจากน้ำตาลและไม่มีน้ำตาล | ||||
บริษัท: Lotte Chilsung
ยี่ห้อ: Saero |
บริษัท: Hite-Jinro
ยี่ห้อ: Jinro is back |
บริษัท: Daesun Distilling
ยี่ห้อ: Daesun |
บริษัท: Muhak
ยี่ห้อ: Jo-eun Day |
บริษัท: HITE-Jinro
ยี่ห้อ: hite ZERO 0.00 |
การบริโภคแอลกอฮอล์ในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพที่ดีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดย Lotte Chilsung[4] เปิดตัวสินค้าโซจูแบบใหม่เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2565 ภายใต้ชื่อ “Saero” เพื่อเป็นผู้นำในตลาดโซจูปราศจากน้ำตาลในปัจจุบัน ตามมาด้วยการประสบความสำเร็จของ Coke Zero ที่เชื่อว่าจะเป็นผู้นำในกระแส Zero-sugar ซึ่งมียอดการจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า จาก 90 พันล้านวอนในปี 2564 เป็น 180 พันล้านวอนในปี 2565 โดย “Saero” ถูกคาดการณ์ว่าจะมียอดการจำหน่ายสูงถึง 100 พันล้านวอน ในช่วงสิ้นปี 2566 และจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงเกินร้อยละ 18 นอกจากนี้ ในบรรดาสินค้าเบียร์ Hite ZERO 0.00 เป็นสินค้าแบบ ALL-FREE กล่าวคือ ปราศจากแอลกอฮอล์ ปราศจากแคลลอรี่ และปราศจากน้ำตาล ซึ่งสามารถรักษารสชาติเดิมของเบียร์ได้ แม้ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือน้ำตาลทางเลือก
ขนม ZERO จากบริษัท Lotte Well Food
ยี่ห้อ: ZERO |
|||
เค้กช็อคโกแลตไม่มีน้ำตาล
9,220 วอน/168 กรัม |
เยลลี่ไม่มีน้ำตาล
8,790 วอน/238 กรัม |
ไอศกรีมไม่มีน้ำตาล
14,000 วอน/380 มิลลิลิตร |
ช๊อคโกบอลไม่มีน้ำตาล
5,400 วอน/140 กรัม |
ZERO เป็นแบรนด์สินค้าไม่มีน้ำตาลจากบริษัท Lotte Well Food[5] ที่เปิดตัวบริษัทฯ เมื่อเดือนเมษายน 2565 และกลายเป็นบริษัทฯ ผู้นำด้านขนมไม่มีน้ำตาลในตลาดเกาหลี โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่หรือ MZ Generation และกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่สำคัญและไวต่อการบริโภคน้ำตาล แบรนด์ ZERO มียอดการจำหน่ายสูงถึง 30 พันล้านวอน ภายใน 6 เดือนหลังจากเปิดตัวในปี 2565 และมีการคาดการณ์ว่า ยอดการจำหน่ายในปี 2566 จะเพิ่มสูงถึง 50 พันล้านวอนตามลำดับ
- มาตรฐานและกฏระเบียบ
ปริมาณความหวานที่ประชากรเกาหลีบริโภคในแต่ละวัน อยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับปริมาณที่ทางกระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยาแนะนำให้บริโภคต่อวัน โดยตัวเลขที่ปรากฏในตาราง แสดงให้เห็นถึงปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันและต่อน้ำหนักตัว ยกตัวอย่างเช่น การบริโภคแอสปาร์แตม เราอาจพิจารณาว่าผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม จะต้องดื่มน้ำอัดลมขนาด 355 มิลลิลิตร จำนวน 12 – 36 กระป๋อง ถึงจะเข้าข่ายความเสี่ยง แต่อ้างอิงจากกระทรวงฯ ประชากรเกาหลีโดยเฉลี่ยบริโภคแอสปาร์แตมโดยเปรียบเทียบกับปริมาณที่สามารถบริโภคได้ในแต่ละวันเพียงร้อยละ 0.12 ซึ่งอยู่ในระดับน้อยมาก โดยแอสปาร์แตม เป็นหนึ่งในสารให้ความหวานสังเคราะห์ จากทั้งหมด 22 ชนิด ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงฯ ในปัจจุบัน
ปริมาณสารให้ความหวานที่สารมารถบริโภคได้ต่อวันโดยกระทรวงความปลอดภัยด้านอาหารและยา
แอสปาร์แตม (Aspartame) | 40 มก./น้ำหนักตัว (กก.) /วัน |
ซูคราโลส (Sucralose) | 15 มก./น้ำหนักตัว (กก.) /วัน |
แอซีซัลเฟมโพแทสเซีม (Acesulfame potassium) | 9 มก./ น้ำหนักตัว (กก.) /วัน |
แซ็กคาริน โซเดียม (Saccharin sodium) | 5 มก./ น้ำหนักตัว (กก.) /วัน |
น้ำตาลหญ้าหวาน (Stevia) | 5 มก./ น้ำหนักตัว (กก.) /วัน |
สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ หรือ The International Agency for Research on Cancer (IARC) ได้คิดค้นระบบหมวดหมู่ เพื่อประเมินหาสารก่อมะเร็งในมนุษย์ โดยสารก่อมะเร็งดังกล่าวฯ จะถูกจัดประเภทโดยอ้างอิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการศึกษาของมนุษย์และสัตว์ทดลอง ตลอดจนกลไกและข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตารางต่อไปนี้แสดงถึงประเภทและคำอธิบายของสารก่อมะเร็ง
เอกสารจากสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการระบุความอันตรายของสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์
กลุ่ม 1 | เป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ | 126 ตัว |
กลุ่ม 2A | อาจเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ | 95 ตัว |
กลุ่ม 2B | มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ | 323 ตัว |
กลุ่ม 3 | ไม่จัดเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ | 500 ตัว |
ที่มา: สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC)
หลังจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้แอสปาร์แตม อยู่ในประเภทสารที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ และสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ได้จัดให้อยู่ในกลุ่ม 2B กล่าวคือ จากการวิจัยพบหลักฐานจำนวนจำกัดที่แสดงว่าสารดังกล่าวฯ สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่ยังปลอดภัยในการบริโภค
แอสปาร์แตม เป็นสารให้ความหวานสังเคราะห์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และใช้ในสินค้าอาหารและเครื่องดื่มอย่างแพร่หลายในฐานะสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลตั้งแต่ในช่วงปีพ.ศ. 2523 โดยใช้ทั้งในเครื่องดื่มไดเอทต่างๆ ขนมขบเคี้ยวรสหวาน มักกอลลี (สาโท) ของประเทศเกาหลีบางยี่ห้อ ตลอดจนยาสีฟันและยาลดไข้สำหรับเด็กบางยี่ห้อ นอกจากนี้ มักกอลลีที่จำหน่ายในตลาดประเทศเกาหลีกว่าร้อยละ 85 ใช้แอสปาร์แตมเป็นส่วนผสมเช่นกัน โดยหลังจากองค์การอนามัยโลกประกาศเรื่องการจัดอันดับดังกล่าวฯ ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตมักกอลลี มีแนวโน้มที่จะหันไปใช้สารให้ความหวานสังเคราะห์ประเภทอื่นแทน อาทิ เอซีซัลเฟมโพแทสเซียม แซ็กคาริน ซูคราโลส และหญ้าหวาน แทนการใช้แอสปาร์แตมหรือผลิตสินค้าใหม่ที่ปราศจากสารให้ความหวานสังเคราะห์
กระทรวงความปลอดภัยอาหารและยาของประเทศเกาหลี (MFDS) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ว่าจะคงระดับการบริโภคแอสปาร์แตมและสารให้ความหวานสังเคราะห์ในแต่ละวัน ตลอดจนรักษาระดับการบริโภครายวันของประเทศที่ 40 มิลลิกรัม/กิโลกรัม โดยพิจารณาจากการรับประทานแอสปาร์แตมของผู้บริโภคเกาหลี ตามคำแนะนำของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุเจือปนอาหารร่วม (JECFA) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้องค์การอนามัยโลก เนื่องจากอาหารบางชนิดถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งกลุ่ม B รวมถึง สารสกัดว่านหางจรเข้ ต้นเฟิร์น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ผักดองสไตล์เอเชีย ซึ่งรวมถึงเครื่องเคียงชื่อดังของประเทศเกาหลีอย่างกิมจิ
ไม่ว่า WHO จะจัดให้แอสปาร์แตมเป็นสารในกลุ่ม 2B หรือไม่ หรือแอสปาร์แตมจะปลอดภัยต่อการบริโภค แต่รัฐบาลเกาหลี ได้เน้นย้ำการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญและการสังเกตการเคลื่อนไหวของประเทศอื่น เพื่อติดตามสถานการณ์ล่าสุด นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มก็ยังติดตามกระแสตอบรับของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด บริษัทด้านอาหารหลักและผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ระหว่างการตัดสินใจสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล อาทิ หญ้าหวาน ซูคราโลส และอื่นๆ เพื่อช่วยบรรเทาความกังวลของผู้บริโภคเกาหลี
- การคาดการณ์และข้อคิดเห็น
จากที่กล่าวมาข้างต้น แม้ในปัจจุบันการบริโภคแอสปาร์แตมยังไม่ได้อยู่ในระดับอันตราย แต่ก็มีภาพลักษณ์ในด้านลบในฐานะสารให้ความหวานสังเคราะห์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ในกลุ่มผู้บริโภคเกาหลีแล้ว ในกลุ่มสินค้าหลายสินค้า แม้ว่าจะไม่ได้มีการใช้แอสปาร์แตม แต่การรับรู้ในด้านลบของสารให้ความหวานสังเคราะห์ได้แพร่กระจายไปสู่เครื่องดื่มปราศจากน้ำตาลต่างๆ และส่งผลกระทบต่อความกังวลของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่แอสปาร์แตม แต่ความกังวลในสารให้ความหวานสังเคราะห์อื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มส่วนใหญ่ในเกาหลี อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะยังคงใช้สารให้ความหวานสังเคราะห์ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งต่อมนุษย์ต่อไป หรือจะหาสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลหรือน้ำตาลทางเลือก เนื่องจากผู้บริโภคอาจรู้สึกไม่สบายใจที่จะบริโภคแม้เพียงปริมาณเล็กน้อยตามข้อสรุปของ WHO
ประเทศเกาหลี ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ผู้บริโภคละเอียดอ่อนและให้ความสำคัญกับสุขภาพมากที่สุด สำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีแผนในการส่งออกสินค้าอาหารมายังตลาดเกาหลี โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม ควรจะต้องติดตามกระแสที่เปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด ตลอดจนกระแสการรับประทานอาหารปราศจากน้ำตาลควบคู่กับสารให้ความหวานสังเคราะห์ชนิดใหม่ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจพิจารณาพัฒนาและปรับปรุงสินค้าขนมขบเคี้ยวหรือเครื่องดื่มโดยไม่ใช้แอสปาร์แตมเป็นส่วนผสม หรือลดปริมาณน้ำตาลลง เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเกาหลีมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น การใช้น้ำตาลจากธรรมชาติที่ประเทศไทยผลิตได้อยู่แล้วและเป็นภูมิปัญญาของไทยมาแต่โบราณ อาทิ น้ำตาลหรือน้ำเชื่อมดอกมะพร้าว อาจทำให้สินค้าไทยได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ดีกว่าน้ำตาลสังเคราะห์ และเป็นการสร้างความแตกต่าง นอกจากนี้ ในสินค้าประเภทซอสและเครื่องปรุงรส ซึ่งเป็นสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดเกาหลี ผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าดังกล่าวฯ อาจพิจารณาพัฒนาซอส เครื่องปรุง หรือซอสสำหรับจิ้ม ที่มีปริมาณน้ำตาลลดลง ปราศจากน้ำตาล หรือใช้น้ำตาลธรรมชาติ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มจุดแข็งในการแข่งขันในตลาดเกาหลีได้ดียิ่งขึ้น
*************************************
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโซล
กันยายน 2566
ที่มา :
World Health Organization: https://monographs.iarc.who.int/agents-classified-by-the-iarc/
Arirang News: https://www.arirang.com/news/view?id=256399
Consumer News: http://www.consumernews.co.kr/news/articleView.html?idxno=686220
Korea Times: https://www.koreatimes.co.kr/www/tech/2023/07/419_355014.html?utm_source=na
Money Today: https://news.mt.co.kr/mtview.php?no=2023072411252379393
Yonhap News: https://www.yna.co.kr/view/AKR20230714067000003?section=search
[1] MtCO22e: เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์สมมูล (หรือเทียบเท่า)
[2] Healthy Pleasure อาทิ การนอนกลางวัน เล่นกับสัตว์เลี้ยง คุยกับเพื่อน ชมธรรมชาติ ดมกลิ่นหอมหวาน หัวเราะไปกับภาพยนตร์ตลก และความสุขที่ดีต่อสุขภาพอื่นๆ มากมาย อาจช่วยปรับปรุงชีวิตและสุขภาพของคุณให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด – ”Healthy Pleasures” โดย Robert Ornstein และ David Sobel/ อ้างอิงจาก “Human Journal”
[3] น้ำตาลอัลลูโลส (Allulose) คือน้ำตาลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สามารถพบได้ในลูกมะเดื่อ ลูกเกด ข้าวสาลี เมเปิ้ลไซรัป และกากน้ำตาล ซึ่งมีความหวานประมาณร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับน้ำตาลปกติ แต่ร้อยละ 98 ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกายและขับออกทางปัสสาวะ
[4] Lotte Chilsung ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม Pepsi Zero ในประเทศเกาหลี หลังจากได้รับหัวเชื้อเข้มข้นจากสำนักงานใหญ่ของ PepsiCo ซึ่งใช้สารให้ความหวาน แตกต่างจากประเทศอื่นทั่วโลกที่ Coca-Cola ไม่ใช้สารให้ความหวานในเครื่องดื่มโคล่าปราศจากน้ำตาลทุกประเภทที่พบเห็นได้ในประเทศเกาหลี อาทิ Coca-Cola Zero
[5] Lotte Well Food เป็นบริษัทด้านอาหารครบวงจรระดับโลก ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะบริษัทแบบบูรณาการของ Lotte Confectionary และ Lotte Food เมื่อเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้น Lotte Well Food ได้จัดตั้งให้ “Health & Wellness” เป็นวิสัยทัศน์สำคัญของบริษัทฯ และปรับใช้กับกลยุทธ์เพื่อพัฒนาแบรนด์สินค้าและการขยายยอดการจำหน่าย โดยให้ความสำคัญกับกระแสการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ในปี 2566 บริษัทฯ ประกาศว่าได้คัดเลือกให้โปรตีนจากแมลง เป็นกลุ่มสินค้าเป้าหมายถัดไปของบริษัทฯ ในฐานะอาหารแห่งอนาคต หรือ Future Food
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)