รัฐบาลญี่ปุ่นจะกำหนดให้มาตรฐานอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Japanese Industrial Standards: JIS) เป็นเงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ในหน่วยงานของรัฐ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่น การรั่วไหลของข้อมูลซึ่งเป็นความลับ เป็นต้น โดยรัฐบาลจะระบุผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายต้องใช้ JIS และจะเริ่มบังคับใช้เป็นลำดับขั้นตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

ที่ผ่านมา แม้รัฐบาลจะกำหนดในการจัดซื้อจัดจ้างว่า “ต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐาน JIS” แต่ในทางปฏิบัติ ยังมีการเลือกใช้สินค้าราคาถูกจากจีนอยู่ไม่น้อย ซึ่งเคยมีการกล่าวถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาดอัตโนมัติที่ผลิตจากจีนในอาคารสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น

การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมีมูลค่ารวมกว่า 25 ล้านล้านเยน (ประมาณ 5.15 ล้านล้านบาท) ต่อปี โดยในเบื้องต้นจะส่งเสริมให้ใช้ข้อกำหนดมาตรฐาน JIS ในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานส่วนกลาง แล้วจึงขยายไปยังส่วนภูมิภาค รวมถึงโรงเรียนรัฐบาลต่อไป
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
คู่ค้าที่สำคัญของไทยอย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีนก็มีการกำหนดให้ใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของตนในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งนับว่าเป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ถูกนำมาใช้เพื่อจำกัดการเข้าสู่ตลาดของสินค้าต่างประเทศ ซึ่งภาคเอกชนญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆ ที่ใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีนี้ และต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นก็เริ่มใช้นโยบายเชิงรุกมากขึ้น โดยมีความพยายามผลักดันให้มาตรฐาน JIS เข้าไปเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศ เพื่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นในตลาดโลก
เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่ผลิตภัณฑ์และบริการจากไทยจะยกระดับให้ได้มาตรฐาน JIS เพื่อที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของญี่ปุ่น แต่หากสามารถทำได้ก็จะเกิดโอกาสทางธุรกิจในตลาดงานจัดซื้อจัดจ้างของญี่ปุ่นซึ่งมีมูลค่ากว่า 25 ล้านล้านเยนต่อปี อีกทั้งท่ามกลางกระแสการลดการพึ่งพาจีนของญี่ปุ่น ผู้ประกอบการไทยก็มีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตสินค้า (Supplier) แทนจีนด้วย
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ญี่ปุ่นจะกำหนดมาตรฐาน JIS เป็นเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
