หน้าแรกTrade insightยานยนต์เเละส่วนประกอบ > ปัญหา 3 ประการของเศรษฐกิจเยอรมัน

ปัญหา 3 ประการของเศรษฐกิจเยอรมัน

เศรษฐกิจเยอรมนียังคงซบเซาอยู่ โดยในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ยังอยู่นิ่ง ๆ จนเรียกได้ว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีกำลังอยู่ภาวะเศรษฐกิจทรงตัว (Stagnation) ซึ่งในเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สำนักงานสถิติประจำประเทศเยอรมนี (Statistisches Bundesamt) ได้ประกาศการประมาณการเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวเลข GDP และได้แจ้งปรับตัวเลข GDP ของไตรมาสที่ 2 ใหม่ อีกด้วย จากเดิมที่ประกาศไว้ว่า ลดดง 0.3% ปรับเป็นลดลง 0.2% เท่านั้น ซึ่งการที่เดือนกรกฎาคม – กันยายน 2025 เยอรมนีประสบกับภาวะเศรษฐกิจทรงตัว จึงทำให้รอดพ้นจากคำว่า “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทางเทคนิค” อย่างหวุดหวิด ซึ่งเราจะเริ่มเรียกภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคก็ต่อเมื่อ GDP ติดลบติดต่อกันสองไตรมาส ด้านนาย Nils Jannsen ผู้อำนวยการฝ่ายประมาณการณ์เศรษฐกิจของเยอรมนีประจำสถาบันเศรษฐกิจโลก (Ifw – Institut für Weltwirtschaft) ในเมือง Kiel กล่าวว่า ดูเหมือนว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐจะยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจของเยอรมนีขยายตัวได้สรุปคือ ภาวะเศรษฐกิจที่ทรงตัวในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า GDP ตอนนี้ อยู่ในระดับเดียวกันกับปี 2019 หรือเศรษฐกิจของเยอรมนีแทบจะไม่มีการเติบโตเลย มาเป็นเวลาหกปีแล้ว โดยรัฐบาลเยอรมนีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศน่าจะเติบโตเพียง 0.2% ตลอดทั้งปี 2025 และคาดว่าในปี 2026 เศรษฐกิจน่าจะกลับมาจะฟื้นตัวในที่สุด นอกจากนี้รั ฐบาลเยอรมนีได้คาดว่า ในปี 2026 GDP จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3% อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นดังกล่าว หลัก ๆ มาจากขับเคลื่อนผ่านการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน (1) ด้านการป้องกันประเทศ และ (2) การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี 2026 การเติบโตประมาณ 0.7% อาจมาจากด้านดังกล่าวเพียงอย่างเดียวก็ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลเยอรมนี คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2027 ไว้ที่ 1.4% โดยอัตรา GDP ที่น่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% นั้นคาดว่า จะมาจากนโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) ในเวลานี้ระบบเศรษฐกิจเยอรมนีกำลังเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน โดยสำนักข่าว Handelsblatt วิเคราะห์ปัญหา สรุปได้ ดังนี้

  • ปัญหาที่ 1 : ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) กลายเป็นภาระสำคัญ

สำนักงานสถิติฯ ระบุว่า หนึ่งในสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจทรงตัว (Stagnation) ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ คือ แม้จะมีการลงทุนในอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ เครื่องจักรหรือยานพาหนะ มากขึ้น แต่ปริมาณการส่งออกกลับลดลง ด้านนาย Jörg Krämer ผู้อำนวยการทีมเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Commerzbank กล่าวว่า ภาวะ Stagnation ในภาพรวมแสดงให้เห็นว่า ตอนนี้เศรษฐกิจของเยอรมนีไม่ได้ขยายตัวดีขึ้นเลย เนื่องจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของเยอรมนีโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อภาคการส่งออก ที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของประเทศ การกีดกันการส่งออกแร่ธาตุหายากจากจีน กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบเศรษฐกิจของเยอรมัน และยังไม่ชัดเจนว่า การผ่อนคลายข้อจำกัดที่ประกาศหลังจากการประชุมระหว่างนาย Xi Jinping ประธานาธิบดีจีน และนาย Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลอย่างไรในอนาคต นอกจากนี้ ข้อตกลงด้านภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU)ซึ่งมีการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าคงที่ไว้ที่ 15% สำหรับสินค้านำเข้าจาก ERU ไปยังตลาดสหรัฐฯ นั้น ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนได้อีกเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นที่น่าสงสัยว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถตกลงในวาระการปฏิรูปใดได้บ้าง

  • ปัญหาที่ 2 : การประเมิณสถานการณ์เชิงลบ

นาย Friedrich Merz นายกรัฐมนตรีหวังว่า หลังจากเข้ารับตำแหน่งความเชื่อมั่นของประชาชนจะกลับคืนมาเป็นบวกอีกครั้ง แต่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ได้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลกลางชุดใหม่ยังต้องทำงานอีกมากในเรื่องนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลผสมชุดก่อนถูกมองว่า มีความขัดแย้งภายในสูงและมีการทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา จนทำให้เกิดความไม่มันใจในภาคธุรกิจขึ้น รัฐบาลกลางชุดปัจจุบันจึงคาดการณ์ว่า จะสามารถนำเสนอวาระการปฏิรูปที่ชัดเจนออกมา อันที่จริงแล้วในปัจจุบันมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลค่อนข้างมาก ไม่ว่าในภาคโครงสร้างพื้นฐานและการป้องกันประเทศ โอกาสเหล่านี้ได้ทยอยส่งผลให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้น (เล็กน้อย) ในเดือนตุลาคม 2025 ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจระดับผู้บริหาร (Geschäftsklimaindex) ซึ่งจัดทำโดยสถาบันเพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยมิวนิค (Ifo – Institut für Wirtschaftsforschung an der Universität München) เพิ่มขึ้น แตะระดับ 88.4 จุด โดยก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน 2025 ดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 87.7 จุด อย่างไรก็ดีการปรับตัวดีขึ้นนี้เกิดจากตัวบ่งชี้ด้านการประเมินสถานการณ์การประกอบธุรกิจในอนาคตเท่านั้น นอกจากนี้ ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นใหม่ระหว่างกลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) กับพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมรัฐบาลในปัจจุบันนั้น ได้ลดการประเมินสถานการณ์เชิงบวกเกี่ยวกับการปฏิรูป (1) โครงสร้างในด้านพลังงาน (2) สวัสดิการสังคม และ (3) ระบบราชการ (Bureaucracy) ลดลง ส่งผลให้การประเมินสถานการณ์ยังอยู่ในเชิงลบ โดยดัชนี Ifo ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำไม่กระเตื้องขึ้นสักที อีกทั้งครัวเรือนส่วนบุคคลยังคงชะลอการบริโภค และออมเงินอย่างหนัก เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย

  • ปัญหาที่ 3 : เยอรมนีในฐานะ “ฐานธุรกิจ” กำลังประสบปัญหา

ปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความซับซ้อนของปัญหามากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหา (1) การขาดแคลนแรงงาน (2) ราคาพลังงานที่ยังสูงเมื่อเทียบกับราคาสากล หรือ (3) ภาระผูกพันด้านการรายงานเข้าไปยังหน่วยงานราชการ เรียกง่าย ๆ ความซับซ้อนของระบบราชการ (Bureaucracy) โดยที่ดัชนี Ifo ปรับตัวดีขึ้น เป็นผลมาจากการคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตที่ดีขึ้นของภาคเอกชน นาย Clemens Fuest ประธาน Ifo กล่าวว่า ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ภาคเศรษฐกิจเยอรมนีคาดการณ์ว่า ปีหน้าเศรษฐกิจน่าจะกลับมาฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ธุรกิจในปัจจุบันกลับแตกต่างออกไปจากการประเมินสถานการณ์ในอนาคต โดยในเดือนตุลาคม 2025 ภาคเอกชนต่างประเมินว่า สถานการณ์ทางธุรกิจแย่ลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2025 เมื่อประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวนมหาศาล เงินนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตเชิงบวก แต่การเติบโตที่เกิดขึ้นนี้อาจสูญสลายในพริบตา หากภาคเอกชนไร้ความเชื่อมั่นกับประเทศเยอรมนีในฐานะ “ฐานธุรกิจ” นาย Jannsen นักเศรษฐศาสตร์จากเมือง Kiel เตือนว่า หากไม่มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (The Economic Framework) นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) ของประเทศก็ไม่น่าจะก่อให้เกิดอะไรมากไปกว่าการจุดประกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว เท่านั้น สภาพแวดล้อมของฐานธุรกิจมีความท้าทาย และมันจะส่งผลกระทบโดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคอุตสาหกรรม ในเดือนตุลาคมสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดีขึ้นเล็กน้อยแม้จะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม (The Utilization of Industrial Capacities)เพิ่มขึ้นหนึ่งจุดเป็น 78.2% แม้ว่า ค่าเฉลี่ยระยะยาวจะอยู่ที่ 83.3% ก็ตาม แม้แต่ในภาคอุตสาหกรรมก็แสดงเห็นได้ชัดว่า แม้ว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ภาคเอกชนกลับลดความพึงพอใจกับผลการประกอบธุรกิจในปัจจุบันลง ปัญหาในปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมก็เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันสถานการณ์ตลาดแรงงานให้ยากลำบากขึ้นไปอีก แม้ว่าในเดือนตุลาคม 2025 จำนวนผู้ว่างงานในเยอรมนีจะลดลงก็ตาม แม้ว่าโดยปกติแล้วในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นช่วงที่มีจำนวนผู้เริ่มงานใหม่สูงกว่าอัตราเฉลี่ย แต่อัตราการเติบโตดังกล่าวในปีนี้กลับไม่สูงเหมือนปีก่อน ๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สำนักงานจัดหางานของรัฐบาลกลางเยอรมนี (BA – Bundesagentur für Arbeit) ประกาศที่สำนักงานหลักในเมือง Nürnbergให้ทราบว่า เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2025 จำนวนผู้ว่างงานลดลงเพียง 44,000 คน อยู่ที่ 2.911 ล้านคน โดยหลังจากปรับลบความผันผวนตามฤดูกาลออกแล้วอัตราการว่างงานจึงลดลง 0.1% เหลือ 6.2% หมายความว่า หากไม่มีความผันผวนตามฤดูกาลจำนวนผู้ว่างงานจะลดลงเพียง 1,000 คน เท่านั้น นาง Andrea Nahles ผู้บริหารหลักของ BA กล่าวว่า การเติบโตของการจ้างงานยังคงอ่อนตัวอยู่ และความต้องการพนักงานใหม่อยู่ในระดับต่ำ

บทสรุป : คำถามที่ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจเกิดขึ้น “หรือไม่” และถ้าเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นจะเกิดขึ้น “อย่างไร” เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก

ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า สำนักงานสถิติฯ จะเปิดเผยตัวเลขโดยละเอียดเกี่ยวกับ GDP ประจำไตรมาสที่ 3 ให้ทราบ นาย Philipp Scheuermeyer ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจากสถาบันสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูประเทศ (KfW – Kreditanstalt für Wiederaufbau) ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐเตือนว่า อย่าให้ความสำคัญกับภาวะเศรษฐกิจทรงตัว (Stagnation) ที่รายงานในขณะนี้มากเกินไป เนื่องจากการปรับตัวเลขครั้งใหญ่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ปัจจัยที่สำคัญกว่าก็คือ ภาพรวม ที่เกิดขึ้นหลังจากพิจารณาตัวเลขการเติบโต และผลสำรวจบริษัทต่าง ๆ สิ้นสุดลงแล้ว นาย Scheuermeyer ยังกล่าวต่อว่า “เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว แนวโน้มการพัฒนาตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่สามก็ยังมีความไม่แน่นอน” และแม้ว่า เศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพรวมของประเทศเยอรมนีในฐานะ “ฐานธุรกิจ” ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ

 

จาก Handelsblatt 21 พฤศจิกายน 2568

อ่านข่าวฉบับเต็ม : ปัญหา 3 ประการของเศรษฐกิจเยอรมัน

Login

ปิดโหมดสีเทา