หน้าแรกTrade insightยานยนต์เเละส่วนประกอบ > ผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐฯ ระส่ำเหตุขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์และต้องหยุดการผลิต

ผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐฯ ระส่ำเหตุขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์และต้องหยุดการผลิต

เนื้อหาสาระข่าว: ภาพรวมสถานการณ์:

  • โรงงานของ Jeep และ Ford ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวจากการขาดแคลนอะลูมิเนียมและเหตุไฟไหม้โรงงานในนิวยอร์ก ส่งผลกระทบต่อพนักงานนับพันคน

  • การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และแร่หายากที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งยิ่งรุนแรงขึ้นจากข้อจำกัดทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลต่อการผลิตรถยนต์ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก

  • ผู้ผลิตรถยนต์กำลังลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อหาแหล่งวัตถุดิบและเทคโนโลยีทางเลือก แต่ราคายานยนต์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและภาระภาษีนำเข้าที่ยังคงเพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมโดยรวม

ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักของสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่โรงงานของ Ford และ Stellantis (เจ้าของแบรนด์ Jeep) โรงงานประกอบรถ Jeep SUV ในรัฐมิชิแกนได้หยุดการผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากการขาดแคลนอะลูมิเนียม และคาดว่าจะกลับมาดำเนินการได้ในต้นเดือนหน้า ขณะเดียวกัน Ford ก็ได้หยุดการผลิตที่โรงงาน 3 แห่ง ส่งผลให้พนักงานหลายพันคนในรัฐมิชิแกนและเคนทักกีต้องยื่นขอรับเงินชดเชยการว่างงาน

สาเหตุของปัญหาการหยุดชะงักของสายการผลิตนี้มาจากสภาวะที่เป็นคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานหลายๆ ส่วน ทั้งอะลูมิเนียม แร่หายาก และชิปเซมิคอนดักเตอร์ โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือเหตุเพลิงไหม้ระดับ 3 (three-alarm fire = เหตุเพลิงไหม้ระดับรุนแรงที่ต้องระดมหน่วยดับเพลิงหลายเขตเข้าช่วยเหลือ) ที่โรงงานอะลูมิเนียมในรัฐนิวยอร์กเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตารางการผลิตรถยนต์ Jeep รุ่นพรีเมียม และรถรุ่นทำกำไรสูงของ Ford เช่น Expedition และ Lincoln Navigator ต้องล่าช้าออกไป นอกจากนี้ โรงงานผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่ของ Ford ในรัฐเคนทักกี (Kentucky Truck Plant) ยังต้องลดกำลังการผลิตของรถรุ่น Super Duty ซึ่งมีราคาขายสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์ต่อคัน

แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ บริษัท Nexperia ผู้ผลิตชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์หลังจากถูกยึดกิจการจากเจ้าของจีน โดยบริษัทแม่ได้ระงับการจัดส่งให้หลังจีนสั่งห้ามการส่งออก ส่งผลให้ผู้ผลิตยานยนต์มีปริมาณชิปของ Nexperia เหลือคงคลังพอใช้แค่เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น สร้างความกังวลต่อการผลิตทั่วโลกว่าอาจจะต้องชะลอตัวลงไปอีก

ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเตือนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันถือเป็น “สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญหลายชนิดเกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้บทเรียนจากวิกฤตการขาดแคลนชิปในช่วงต้นทศวรรษนี้ไม่มีประโยชน์ในการแก้ปัญหาครั้งนี้มากนัก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ยังต้องรับภาระจากต้นทุนภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น การปรับทิศทางการลงทุนออกจากรถยนต์ไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูง และแรงกดดันทางตลาดที่ยังดำเนินต่อเนื่อง ราคายานยนต์ในสหรัฐฯ ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยรถยนต์ใหม่มีราคาคันละประมาณ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าปริมาณการขายรถยนต์รวมทั้งปีจะอยู่ราว 15.9 ล้านคันเท่านั้น

ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับกลยุทธ์เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น Stellantis ประกาศแผนลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อชดเชยภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Ford กำลังประสานงานกับบริษัท Novelis ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานอะลูมิเนียมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ และอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกทุกแนวทางเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการหยุดชะงักของการผลิตให้น้อยที่สุด

บทวิเคราะห์: จากบทความนี้ มีประเด็นสำคัญๆ ที่ควรพิจารณาดังนี้

1. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้องเหตุเพลิงไหม้โรงงานอะลูมิเนียมของบริษัท Novelis ในเมืองออสวีโก รัฐนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐอเมริกา โรงงานแห่งนี้เป็นผู้ผลิตแผ่นอะลูมิเนียมระดับอุตสาหกรรมยานยนต์รายสำคัญ ซึ่งส่งวัตถุดิบให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้ง Ford และ Stellantis ในสัดส่วนสูง การหยุดการผลิตในช่วงเวลาสั้นๆ ได้สร้างผลกระทบต่อสายการประกอบรถยนต์หลายรุ่น ตั้งแต่ SUV ระดับพรีเมียม ไปจนถึงรถกระบะรุ่นขายดีอย่าง F-150 ที่ใช้แผ่นอะลูมิเนียมของ Novelis เป็นโครงสร้างหลัก จึงไม่น่าแปลกที่โรงงานของ Ford ในมิชิแกนและเคนทักกี รวมทั้งสายการผลิตของ Stellantis ในมิชิแกน ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวและส่งผลให้แรงงานหลายพันคนเข้าสู่ระบบการว่างงานชั่วคราวในทันที

ผลกระทบในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีอยู่บ้างแต่ไม่รุนแรงเท่าภาค      ยานยนต์ เนื่องจากชนิดของอะลูมิเนียมที่ใช้แตกต่างกัน โดย Novelis เน้นผลิตอะลูมิเนียมเกรดสำหรับโครงสร้างตัวถังรถยนต์ มิใช่เกรดที่ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ราคาตลาดของอะลูมิเนียมที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะขาดแคลนในสหรัฐฯ ย่อมส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบในทุกอุตสาหกรรมโลหะในระดับหนึ่ง รวมถึงผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องนำเข้าอะลูมิเนียมจากตลาดโลก

2. ระยะเวลาของผลกระทบและการฟื้นตัวจากรายงานของ Novelis และหน่วยงานภาครัฐของนิวยอร์ก คาดว่าโรงงานออสวีโกจะกลับมาดำเนินการผลิตได้ภายในต้นปี พ.ศ. 2569 แต่จะยังไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังในช่วงแรก เนื่องจากต้องซ่อมแซมระบบ hot mill และปรับกระบวนการควบคุมคุณภาพใหม่ทั้งหมด ผลกระทบจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ระยะสั้นสองสามสัปดาห์ แต่เป็นปัญหาที่จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไปอีกหลายเดือนจนถึงปีหน้า ผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องหาซัพพลายจากแหล่งอื่นมาทดแทนชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและเผชิญกับภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมในอัตราสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตยานยนต์โดยรวมเพิ่มขึ้น บางรุ่นต้องลดกำลังการผลิตหรือเลื่อนการส่งมอบออกไป ขณะที่ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯ ก็ยังต้องเผชิญกับราคายานยนต์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า เมื่อโรงงานของ Novelis กลับมาผลิตได้เต็มกำลังภายในกลางปี พ.ศ. 2569 สถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลาย ราคาวัตถุดิบจะเริ่มทรงตัว และห่วงโซ่อุปทานจะเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงเป็นผลกระทบที่มีระยะเวลาปานกลาง ยาวกว่าการหยุดชะงักทั่วไป แต่ไม่ถึงขั้นเป็นวิกฤตระยะยาวถาวรของอุตสาหกรรม

3. ปัจจัยอื่นที่ซ้ำเติมสถานการณ์แม้เหตุเพลิงไหม้จะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุเดียวของความตึงตัวในห่วงโซ่อุปทาน อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายทิศทางพร้อมกัน ทั้งปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง หลังบริษัทผู้ผลิตชิป Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ต้องหยุดการส่งออกชั่วคราวจากข้อจำกัดด้านความมั่นคงกับจีน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและสหรัฐฯ มีสต็อกชิปเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและแร่หายากที่สูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่ยังไม่ลดลงตามที่คาดหวัง เมื่อปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน อุตสาหกรรมยานยนต์จึงเผชิญภาวะต้นทุนสูงและความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลต่อราคายานยนต์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 50,000 ดอลลาร์ต่อคันโดยเฉลี่ยและทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์การจัดหาวัตถุดิบใหม่อย่างจริงจัง

4. แนวโน้มการผลิตภายในประเทศและการวางแผนสำรองห่วงโซ่อุปทานเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ที่พึ่งพาซัพพลายเออร์รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และกระตุ้นให้ภาครัฐและเอกชนหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง แนวโน้มการผลิตใกล้ตลาดหรือ near-shoring จึงชัดเจนมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Ford และ Stellantis ต่างประกาศแผนลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานก็เริ่มมองหาแหล่งผลิตใหม่ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะเม็กซิโก ซึ่งมีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าและสามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี USMCA ได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม การผลิตภายในประเทศไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด เนื่องจากการสร้างโรงงานใหม่ต้องใช้เวลาและเงินลงทุนสูง หลายบริษัทจึงเลือกแนวทางผสมผสาน คือผลิตบางส่วนในประเทศเพื่อความมั่นคง แต่ยังคงรักษาเครือข่ายซัพพลายจากต่างประเทศเป็น contingency plan ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด สำหรับประเทศไทย สถานการณ์นี้เป็นทั้งสัญญาณเตือนและโอกาสในเวลาเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ช่วงการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานนี้ เสนอชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบบางประเภทเข้าไปทดแทนในช่วงที่ตลาดยังขาดแคลน และในระยะยาว อาจพิจารณาการลงทุนหรือจับคู่ผลิตในภูมิภาคอเมริกาเหนือเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

โดยสรุป เหตุเพลิงไหม้โรงงานอะลูมิเนียมของ Novelis ในนิวยอร์กได้กลายเป็นตัวเร่งให้เห็นความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานยานยนต์สหรัฐฯ อย่างชัดเจน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Ford และ Stellantis ที่ต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราว ขณะที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับผลทางอ้อมจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ผลกระทบมีลักษณะต่อเนื่องในระยะกลาง คาดว่าจะยาวไปถึงต้นปี 2569 ก่อนที่โรงงานจะกลับมาผลิตได้เต็มกำลัง ปัญหานี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยภายนอก เช่น การขาดแคลนชิปและต้นทุนโลหะที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ภาคยานยนต์ต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์การจัดหาวัตถุดิบใหม่ แนวโน้มในอนาคตจึงมุ่งไปสู่การผลิตภายในประเทศและภูมิภาคอเมริกาเหนือมากขึ้น พร้อมกับการสร้างแผนสำรองห่วงโซ่อุปทานจากต่างประเทศเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นจังหวะสำคัญที่ผู้ประกอบการในต่างประเทศสามารถเข้าไปมีบทบาทได้ทั้งในฐานะผู้ส่งชิ้นส่วนเสริมกำลังผลิตระยะสั้น และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ:ขอหยิบประเด็นในบทความมาพิจารณาถึงโอกาสต่อผู้ประกอบการไทย ดังนี้

ผลกระทบและโอกาสของเหตุเพลิงไหม้โรงงาน Novelis ต่อผู้ประกอบการไทย

ระยะเวลา

ลักษณะผลกระทบหลัก (สหรัฐฯ/โลก)

โอกาสและแนวทาง

ความเร่งด่วน

ระยะสั้น

(3–6 เดือน – Q4 2025)

  • Ford และ Stellantis หยุดสายการผลิตบางรุ่น (F-150, Expedition, Navigator, Jeep SUV) เพราะขาดแคลนอะลูมิเนียม

  • ราคาวัตถุดิบอะลูมิเนียมและโลหะในตลาดสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 10–25%

  • ต้นทุนโลหะนำเข้าเพิ่มจากภาษี +50%

  • ผู้ผลิตอื่นต้องหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ชั่วคราว

  • เสนอขาย “อะไหล่–ชิ้นส่วนทดแทน” (Bridge Supply) เช่น ซีลยาง, สายไฟ, ชิ้นส่วนภายใน (non-metal)

  • ติดต่อ OEM/Tier-1 เพื่อเข้ารายชื่อผู้จำหน่ายชั่วคราว (Pre-qualification)

  • ผลิตวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องเพิ่ม/ตั้งราคาแบบ index-linked* ป้องกันผันผวน

สูง (ภายใน Q4 นี้ควรเริ่มเคลื่อนไหว)

ระยะกลาง (6–18 เดือน, ปี 2026)

  • Novelis คาดกลับมาผลิตได้ต้น ปี 2026 แต่ยังไม่เต็มกำลัง

  • ผู้ผลิตสหรัฐฯ เร่งลงทุนในประเทศ (Stellantis 13 พันล้านดอลลาร์)

  • ความต้องการชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น

  • ความเสี่ยงจากการขาดแคลนชิป (Nexperia/เนเธอร์แลนด์–จีน) ยังคงอยู่

  • ตั้งพันธมิตรผลิต / ประกอบใน US–Mexico (Near-shoring Partner) เพื่อลดภาษีและใกล้ตลาด

  • เสนอตัวเป็น Tier-2/3 ให้โรงงาน  OEM ในอเมริกาเหนือ

  • ทำแผน multi-sourcing สำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ – จัดสต็อกกันขาด

ปานกลางถึงสูง

ระยะยาว (18 เดือน–3 ปี, 2027 เป็นต้นไป)

  • อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ เร่งกระจายความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทาน (Resilient Supply Chain)

  • แนวโน้มผลิตใกล้ตลาด (Near-/On-shoring) แรงขึ้น

  • รัฐบาลสหรัฐฯ ผลักดันนโยบาย Made in America และสิทธิประโยชน์ IRA (Inflation Reduction Act)

  • ราคายานยนต์สูงขึ้น > USD 50,000

  • ลงทุน R&D ร่วมกับพันธมิตรสหรัฐฯ เน้นวัสดุน้ำหนักเบา, คอมโพสิต, ระบบ EV/Hybrid Thermal Management

  • พิจารณาโอกาสขยายโรงงาน/ศูนย์กระจายสินค้าในอเมริกาเหนือ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain ถาวร

  • ใช้โอกาสจาก  FTA ใหม่ หรือ เขตการค้าเสรี สหรัฐฯ–ไทย (ถ้าเปิดเจรจา) เพื่อวางตำแหน่งระยะยาว

ปานกลาง (ควรวางแผนเชิงกลยุทธ์ภายใน 2026)

* สัญญาการตั้งราคาแบบ index-linked คือการผูกสัญญาเข้ากับดัชนีราคาตลาด ช่วยให้ผู้ขายไม่ขาดทุนเมื่อวัตถุดิบแพงขึ้น และผู้ซื้อไม่ถูกเอาเปรียบเมื่อราคาตลาดลดลง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในช่วงตลาดผันผวน เช่น เหตุเพลิงไหม้ Novelis ที่ทำให้ราคาอะลูมิเนียมพุ่งไม่แน่นอน

ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องควรเร่งดำเนินการในหลายแนวทางอย่างพร้อมเพรียง เพื่อใช้ประโยชน์จากสถานการณ์การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในสหรัฐฯ ที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้โรงงาน Novelis และปัญหาวัตถุดิบโลหะที่ตึงตัวในตลาดโลก แนวทางที่ควรพิจารณาดำเนินการในขณะนี้ ได้แก่

  1. ควรเร่งกระบวนการขอขึ้นทะเบียนกับผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ (OEM) หรือผู้รับจ้างผลิตระดับ Tier-1 ผ่านขั้นตอน Pre-Qualification เพื่อแสดงศักยภาพและมาตรฐานการผลิตในระดับสากล โรงงานที่มีมาตรฐานคุณภาพตามระบบ IATF 16949 ควรเตรียมเอกสารเทคนิค เช่น PPAP IMDS และระบบตรวจสอบย้อนกลับให้พร้อม เพื่อเสนอเป็นผู้ผลิตสำรองหรือ Bridge Supplier สำหรับชิ้นส่วนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโครงสร้างหลัก เช่น ชิ้นส่วนยาง อินทีเรียร์ ฮาร์เนส หรือ ฮาร์ดแวร์โลหะรอง ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนซัพพลายเออร์รายเดิมที่ไม่สามารถส่งมอบได้ทันในช่วงเวลานี้ การแสดงความพร้อมด้านมาตรฐานและระยะเวลาการผลิตที่ยืดหยุ่นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว

  2. ควรวางแผนออกแบบห่วงโซ่อุปทานใหม่ให้สอดคล้องกับแนวโน้ม “ผลิตใกล้ตลาด” ของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ โดยเฉพาะการหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในเม็กซิโกหรือสหรัฐฯ เพื่อทำขั้นตอนการประกอบขั้นสุดท้าย (Final Assembly หรือ Sub-Assembly) ให้ผ่านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ลดความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าและสร้างความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในการส่งมอบสินค้าใกล้ฐานลูกค้าหลัก ซึ่งสอดคล้องกับแผนลงทุนใหม่ของ Stellantis และ Ford ที่เพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

  3. บทเรียนจากภัยพิบัติที่ส่งผลต่อสายการผลิตในสหรัฐฯ เช่นนี้ จึงอยากเรียนแนะนำว่าผู้ประกอบการไทยควรเตรียมความพร้อมด้านการจัดการวัตถุดิบสำคัญ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ      เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของระบบควบคุมในรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ แนวทางที่เหมาะสมคือการสร้าง “แผนกระจายความเสี่ยงของแหล่งวัตถุดิบ” หรือ Dual-/Triple-Sourcing (การจัดซื้อจากหลายแหล่งพร้อมกัน) เพื่อแสดงให้ลูกค้าในสหรัฐฯ เห็นว่าผู้ผลิตไทยมีระบบจัดการ    ซัพพลายเชนที่มั่นคง โรงงานควรจัดทำ “BOM Mapping” (Bill of Materials Mapping หรือแผนผังวัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ในการผลิต) เพื่อระบุชิ้นส่วนใดที่พึ่งพาแหล่งเดียว แล้วหาชิ้นส่วนทดแทนที่ผ่านการรับรองไว้ล่วงหน้า รวมถึงเตรียม “สต็อกสำรองเพื่อความปลอดภัย” (Safety Stock) สำหรับสินค้าที่มักขาดตลาด เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์ต่อพ่วง การเตรียมระบบดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้การผลิตในประเทศไม่สะดุด แต่ยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าต่างประเทศว่าโรงงานไทยมีศักยภาพเป็นผู้จัดหาที่ไว้วางใจได้ในช่วงที่ห่วงโซ่อุปทานโลกยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ

  4. ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนภายใต้แนวคิด “Cost-Down with Value-Up” (แนวคิดที่พัฒนามาจากระบบการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น) ซึ่งหมายถึงการลดต้นทุนในกระบวนการผลิตโดยไม่ลดคุณภาพของสินค้า แต่ในทางกลับกันต้องเพิ่มคุณค่าหรือประสิทธิภาพของชิ้นส่วนให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะต้นทุนสูงจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางนี้สามารถทำได้โดยการออกแบบหรือเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดน้ำหนักและยืดอายุการใช้งาน เช่น การใช้วัสดุคอมโพสิตเคลือบผิวกันรอย วัสดุซับเสียงและแรงสั่นสะเทือน (NVH – Noise, Vibration, and Harshness Material) หรือพัฒนาโมดูลไฟฟ้าที่มีระบบระบายความร้อน (Thermal Management System) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หากผู้ประกอบการสามารถนำเสนอชิ้นส่วนที่ช่วยให้ “ต้นทุนรวมการเป็นเจ้าของ” ของลูกค้า (Total Cost of Ownership – TCO) ลดลงได้ จะมีโอกาสได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศและผ่านการพิจารณาเป็นผู้จัดจำหน่าย (Supplier Approval) ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  5. ในด้านการจัดซื้อและสัญญาซื้อขาย ควรนำระบบ Index-Linked Contract มาใช้เพื่อบริหารความผันผวนของราคาวัตถุดิบและค่าขนส่ง โดยกำหนดให้ราคาซื้อขายผูกกับดัชนีราคาโลหะ เช่น LME Aluminum Index หรือ Fuel Surcharge Index เพื่อป้องกันความเสียหายจากการปรับราคากะทันหันในช่วงตลาดผันผวน แนวทางนี้ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถวางแผนต้นทุนได้แม่นยำและรักษาเสถียรภาพของสัญญาระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยควรจับสัญญาณดีมานด์ของรถกระบะและรถเชิงพาณิชย์ในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวหลัง Ford ประกาศเพิ่มกำลังผลิตที่ Kentucky Truck Plant และเตรียมทดแทนกำลังการผลิตที่สูญเสียจากเหตุเพลิงไหม้ การเตรียมวัตถุดิบและกำลังการผลิตล่วงหน้าในกลุ่มชิ้นส่วนระบบไฟ ยาง และ อินทีเรียร์ทนทาน จะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งซื้อใหม่ได้อย่างทันท่วงที

ในอีกด้านหนึ่งสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองไมอามี (สคต. ไมอามี) ได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ระดับโลกที่มีโรงงานในสหรัฐฯ และได้รับข้อมูลว่าความต้องการวัตถุดิบโลหะ โดยเฉพาะอะลูมิเนียม กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทดังกล่าวกำลังมองหาโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะในประเทศไทยเพื่อทำสัญญาว่าจ้างระยะยาว ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับโรงงานไทยที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเหล็กที่สามารถผลิตและขึ้นรูป Fabricated Metal ด้วยกรรมวิธี Laser Cutting หรือ CNC Press Brake โรงงานผลิต Plastic Injection Molded Product หรือโรงงานผลิต Wire Harness และโรงงานอะลูมิเนียมที่มีเทคโนโลยีการผลิตตามมาตรฐานสากล TTCM ขอเชิญผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติครบถ้วนติดต่อโดยตรงหรือผ่านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อเข้าร่วมโอกาสทางธุรกิจนี้

ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตและผู้ส่งออกชิ้นส่วนโลหะของไทยที่มีลูกค้าเดิมในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อุตสาหกรรมอื่น ควรใช้ช่วงเวลานี้กลับไปติดต่อคู่ค้ารายเดิมผ่านช่องทางที่เคยใช้ เช่น อีเมล การประชุมออนไลน์ หรือการเยี่ยมเยือนโดยตรง เพราะช่วงเวลาที่ห่วงโซ่อุปทานตึงตัวเช่นนี้ คู่ค้าหลายรายกำลังมองหาแหล่งผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ การแสดงความพร้อมและติดต่อเชิงรุกในระยะนี้อาจทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับคำสั่งซื้อใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่มเติม การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการขยายโอกาสในตลาดสหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมโลกในปัจจุบัน

*********************************************************

ที่มา: CBT News
เรื่อง: “U.S. automakers struggle with parts shortages and halted output”
โดย: Ashby Lincoln
สคต. ไมอามี /วันที่ 21 ตุลาคม 2568

อ่านข่าวฉบับเต็ม : ผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐฯ ระส่ำเหตุขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์และต้องหยุดการผลิต

Login

ปิดโหมดสีเทา