เนื้อหาสาระข่าว: ภาพรวมสถานการณ์:
-
โรงงานของ Jeep และ Ford ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวจากการขาดแคลนอะลูมิเนียมและเหตุไฟไหม้โรงงานในนิวยอร์ก ส่งผลกระทบต่อพนักงานนับพันคน
-
การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และแร่หายากที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งยิ่งรุนแรงขึ้นจากข้อจำกัดทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลต่อการผลิตรถยนต์ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก
-
ผู้ผลิตรถยนต์กำลังลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อหาแหล่งวัตถุดิบและเทคโนโลยีทางเลือก แต่ราคายานยนต์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและภาระภาษีนำเข้าที่ยังคงเพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมโดยรวม
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการหยุดชะงักของสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่โรงงานของ Ford และ Stellantis (เจ้าของแบรนด์ Jeep) โรงงานประกอบรถ Jeep SUV ในรัฐมิชิแกนได้หยุดการผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากการขาดแคลนอะลูมิเนียม และคาดว่าจะกลับมาดำเนินการได้ในต้นเดือนหน้า ขณะเดียวกัน Ford ก็ได้หยุดการผลิตที่โรงงาน 3 แห่ง ส่งผลให้พนักงานหลายพันคนในรัฐมิชิแกนและเคนทักกีต้องยื่นขอรับเงินชดเชยการว่างงาน
สาเหตุของปัญหาการหยุดชะงักของสายการผลิตนี้มาจากสภาวะที่เป็นคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานหลายๆ ส่วน ทั้งอะลูมิเนียม แร่หายาก และชิปเซมิคอนดักเตอร์ โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือเหตุเพลิงไหม้ระดับ 3 (three-alarm fire = เหตุเพลิงไหม้ระดับรุนแรงที่ต้องระดมหน่วยดับเพลิงหลายเขตเข้าช่วยเหลือ) ที่โรงงานอะลูมิเนียมในรัฐนิวยอร์กเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตารางการผลิตรถยนต์ Jeep รุ่นพรีเมียม และรถรุ่นทำกำไรสูงของ Ford เช่น Expedition และ Lincoln Navigator ต้องล่าช้าออกไป นอกจากนี้ โรงงานผลิตรถบรรทุกขนาดใหญ่ของ Ford ในรัฐเคนทักกี (Kentucky Truck Plant) ยังต้องลดกำลังการผลิตของรถรุ่น Super Duty ซึ่งมีราคาขายสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์ต่อคัน
แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ บริษัท Nexperia ผู้ผลิตชิปสัญชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์หลังจากถูกยึดกิจการจากเจ้าของจีน โดยบริษัทแม่ได้ระงับการจัดส่งให้หลังจีนสั่งห้ามการส่งออก ส่งผลให้ผู้ผลิตยานยนต์มีปริมาณชิปของ Nexperia เหลือคงคลังพอใช้แค่เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น สร้างความกังวลต่อการผลิตทั่วโลกว่าอาจจะต้องชะลอตัวลงไปอีก
ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเตือนว่าสถานการณ์ในปัจจุบันถือเป็น “สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญหลายชนิดเกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้บทเรียนจากวิกฤตการขาดแคลนชิปในช่วงต้นทศวรรษนี้ไม่มีประโยชน์ในการแก้ปัญหาครั้งนี้มากนัก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ยังต้องรับภาระจากต้นทุนภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น การปรับทิศทางการลงทุนออกจากรถยนต์ไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูง และแรงกดดันทางตลาดที่ยังดำเนินต่อเนื่อง ราคายานยนต์ในสหรัฐฯ ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยรถยนต์ใหม่มีราคาคันละประมาณ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าปริมาณการขายรถยนต์รวมทั้งปีจะอยู่ราว 15.9 ล้านคันเท่านั้น
ผู้ผลิตหลายรายเริ่มปรับกลยุทธ์เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น Stellantis ประกาศแผนลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อชดเชยภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Ford กำลังประสานงานกับบริษัท Novelis ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานอะลูมิเนียมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ และอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกทุกแนวทางเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการหยุดชะงักของการผลิตให้น้อยที่สุด
บทวิเคราะห์: จากบทความนี้ มีประเด็นสำคัญๆ ที่ควรพิจารณาดังนี้
1. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้อง: เหตุเพลิงไหม้โรงงานอะลูมิเนียมของบริษัท Novelis ในเมืองออสวีโก รัฐนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐอเมริกา โรงงานแห่งนี้เป็นผู้ผลิตแผ่นอะลูมิเนียมระดับอุตสาหกรรมยานยนต์รายสำคัญ ซึ่งส่งวัตถุดิบให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้ง Ford และ Stellantis ในสัดส่วนสูง การหยุดการผลิตในช่วงเวลาสั้นๆ ได้สร้างผลกระทบต่อสายการประกอบรถยนต์หลายรุ่น ตั้งแต่ SUV ระดับพรีเมียม ไปจนถึงรถกระบะรุ่นขายดีอย่าง F-150 ที่ใช้แผ่นอะลูมิเนียมของ Novelis เป็นโครงสร้างหลัก จึงไม่น่าแปลกที่โรงงานของ Ford ในมิชิแกนและเคนทักกี รวมทั้งสายการผลิตของ Stellantis ในมิชิแกน ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวและส่งผลให้แรงงานหลายพันคนเข้าสู่ระบบการว่างงานชั่วคราวในทันที
ผลกระทบในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีอยู่บ้างแต่ไม่รุนแรงเท่าภาค ยานยนต์ เนื่องจากชนิดของอะลูมิเนียมที่ใช้แตกต่างกัน โดย Novelis เน้นผลิตอะลูมิเนียมเกรดสำหรับโครงสร้างตัวถังรถยนต์ มิใช่เกรดที่ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ราคาตลาดของอะลูมิเนียมที่ปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะขาดแคลนในสหรัฐฯ ย่อมส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบในทุกอุตสาหกรรมโลหะในระดับหนึ่ง รวมถึงผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องนำเข้าอะลูมิเนียมจากตลาดโลก
2. ระยะเวลาของผลกระทบและการฟื้นตัว: จากรายงานของ Novelis และหน่วยงานภาครัฐของนิวยอร์ก คาดว่าโรงงานออสวีโกจะกลับมาดำเนินการผลิตได้ภายในต้นปี พ.ศ. 2569 แต่จะยังไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังในช่วงแรก เนื่องจากต้องซ่อมแซมระบบ hot mill และปรับกระบวนการควบคุมคุณภาพใหม่ทั้งหมด ผลกระทบจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ระยะสั้นสองสามสัปดาห์ แต่เป็นปัญหาที่จะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ไปอีกหลายเดือนจนถึงปีหน้า ผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องหาซัพพลายจากแหล่งอื่นมาทดแทนชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและเผชิญกับภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมในอัตราสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตยานยนต์โดยรวมเพิ่มขึ้น บางรุ่นต้องลดกำลังการผลิตหรือเลื่อนการส่งมอบออกไป ขณะที่ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯ ก็ยังต้องเผชิญกับราคายานยนต์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า เมื่อโรงงานของ Novelis กลับมาผลิตได้เต็มกำลังภายในกลางปี พ.ศ. 2569 สถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลาย ราคาวัตถุดิบจะเริ่มทรงตัว และห่วงโซ่อุปทานจะเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงเป็นผลกระทบที่มีระยะเวลาปานกลาง ยาวกว่าการหยุดชะงักทั่วไป แต่ไม่ถึงขั้นเป็นวิกฤตระยะยาวถาวรของอุตสาหกรรม
3. ปัจจัยอื่นที่ซ้ำเติมสถานการณ์: แม้เหตุเพลิงไหม้จะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุเดียวของความตึงตัวในห่วงโซ่อุปทาน อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายทิศทางพร้อมกัน ทั้งปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง หลังบริษัทผู้ผลิตชิป Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ต้องหยุดการส่งออกชั่วคราวจากข้อจำกัดด้านความมั่นคงกับจีน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและสหรัฐฯ มีสต็อกชิปเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและแร่หายากที่สูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่ยังไม่ลดลงตามที่คาดหวัง เมื่อปัจจัยเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน อุตสาหกรรมยานยนต์จึงเผชิญภาวะต้นทุนสูงและความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลต่อราคายานยนต์ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 50,000 ดอลลาร์ต่อคันโดยเฉลี่ยและทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์การจัดหาวัตถุดิบใหม่อย่างจริงจัง
4. แนวโน้มการผลิตภายในประเทศและการวางแผนสำรองห่วงโซ่อุปทาน: เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ ที่พึ่งพาซัพพลายเออร์รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และกระตุ้นให้ภาครัฐและเอกชนหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง แนวโน้มการผลิตใกล้ตลาดหรือ near-shoring จึงชัดเจนมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Ford และ Stellantis ต่างประกาศแผนลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานก็เริ่มมองหาแหล่งผลิตใหม่ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะเม็กซิโก ซึ่งมีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าและสามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี USMCA ได้เต็มที่
อย่างไรก็ตาม การผลิตภายในประเทศไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด เนื่องจากการสร้างโรงงานใหม่ต้องใช้เวลาและเงินลงทุนสูง หลายบริษัทจึงเลือกแนวทางผสมผสาน คือผลิตบางส่วนในประเทศเพื่อความมั่นคง แต่ยังคงรักษาเครือข่ายซัพพลายจากต่างประเทศเป็น contingency plan ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด สำหรับประเทศไทย สถานการณ์นี้เป็นทั้งสัญญาณเตือนและโอกาสในเวลาเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ช่วงการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานนี้ เสนอชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบบางประเภทเข้าไปทดแทนในช่วงที่ตลาดยังขาดแคลน และในระยะยาว อาจพิจารณาการลงทุนหรือจับคู่ผลิตในภูมิภาคอเมริกาเหนือเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
โดยสรุป เหตุเพลิงไหม้โรงงานอะลูมิเนียมของ Novelis ในนิวยอร์กได้กลายเป็นตัวเร่งให้เห็นความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานยานยนต์สหรัฐฯ อย่างชัดเจน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Ford และ Stellantis ที่ต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราว ขณะที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าได้รับผลทางอ้อมจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ผลกระทบมีลักษณะต่อเนื่องในระยะกลาง คาดว่าจะยาวไปถึงต้นปี 2569 ก่อนที่โรงงานจะกลับมาผลิตได้เต็มกำลัง ปัญหานี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยภายนอก เช่น การขาดแคลนชิปและต้นทุนโลหะที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ภาคยานยนต์ต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์การจัดหาวัตถุดิบใหม่ แนวโน้มในอนาคตจึงมุ่งไปสู่การผลิตภายในประเทศและภูมิภาคอเมริกาเหนือมากขึ้น พร้อมกับการสร้างแผนสำรองห่วงโซ่อุปทานจากต่างประเทศเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นจังหวะสำคัญที่ผู้ประกอบการในต่างประเทศสามารถเข้าไปมีบทบาทได้ทั้งในฐานะผู้ส่งชิ้นส่วนเสริมกำลังผลิตระยะสั้น และพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว
ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ:ขอหยิบประเด็นในบทความมาพิจารณาถึงโอกาสต่อผู้ประกอบการไทย ดังนี้
ผลกระทบและโอกาสของเหตุเพลิงไหม้โรงงาน Novelis ต่อผู้ประกอบการไทย
|
ระยะเวลา |
ลักษณะผลกระทบหลัก (สหรัฐฯ/โลก) |
โอกาสและแนวทาง |
ความเร่งด่วน |
|---|---|---|---|
|
ระยะสั้น (3–6 เดือน – Q4 2025) |
|
|
สูง (ภายใน Q4 นี้ควรเริ่มเคลื่อนไหว) |
|
ระยะกลาง (6–18 เดือน, ปี 2026) |
|
|
ปานกลางถึงสูง |
|
ระยะยาว (18 เดือน–3 ปี, 2027 เป็นต้นไป) |
|
|
ปานกลาง (ควรวางแผนเชิงกลยุทธ์ภายใน 2026) |
* สัญญาการตั้งราคาแบบ index-linked คือการผูกสัญญาเข้ากับดัชนีราคาตลาด ช่วยให้ผู้ขายไม่ขาดทุนเมื่อวัตถุดิบแพงขึ้น และผู้ซื้อไม่ถูกเอาเปรียบเมื่อราคาตลาดลดลง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในช่วงตลาดผันผวน เช่น เหตุเพลิงไหม้ Novelis ที่ทำให้ราคาอะลูมิเนียมพุ่งไม่แน่นอน
ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องควรเร่งดำเนินการในหลายแนวทางอย่างพร้อมเพรียง เพื่อใช้ประโยชน์จากสถานการณ์การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในสหรัฐฯ ที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้โรงงาน Novelis และปัญหาวัตถุดิบโลหะที่ตึงตัวในตลาดโลก แนวทางที่ควรพิจารณาดำเนินการในขณะนี้ ได้แก่
-
ควรเร่งกระบวนการขอขึ้นทะเบียนกับผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ (OEM) หรือผู้รับจ้างผลิตระดับ Tier-1 ผ่านขั้นตอน Pre-Qualification เพื่อแสดงศักยภาพและมาตรฐานการผลิตในระดับสากล โรงงานที่มีมาตรฐานคุณภาพตามระบบ IATF 16949 ควรเตรียมเอกสารเทคนิค เช่น PPAP IMDS และระบบตรวจสอบย้อนกลับให้พร้อม เพื่อเสนอเป็นผู้ผลิตสำรองหรือ Bridge Supplier สำหรับชิ้นส่วนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มโครงสร้างหลัก เช่น ชิ้นส่วนยาง อินทีเรียร์ ฮาร์เนส หรือ ฮาร์ดแวร์โลหะรอง ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนซัพพลายเออร์รายเดิมที่ไม่สามารถส่งมอบได้ทันในช่วงเวลานี้ การแสดงความพร้อมด้านมาตรฐานและระยะเวลาการผลิตที่ยืดหยุ่นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว
-
ควรวางแผนออกแบบห่วงโซ่อุปทานใหม่ให้สอดคล้องกับแนวโน้ม “ผลิตใกล้ตลาด” ของอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ โดยเฉพาะการหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในเม็กซิโกหรือสหรัฐฯ เพื่อทำขั้นตอนการประกอบขั้นสุดท้าย (Final Assembly หรือ Sub-Assembly) ให้ผ่านกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ลดความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าและสร้างความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในการส่งมอบสินค้าใกล้ฐานลูกค้าหลัก ซึ่งสอดคล้องกับแผนลงทุนใหม่ของ Stellantis และ Ford ที่เพิ่มกำลังการผลิตภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
-
บทเรียนจากภัยพิบัติที่ส่งผลต่อสายการผลิตในสหรัฐฯ เช่นนี้ จึงอยากเรียนแนะนำว่าผู้ประกอบการไทยควรเตรียมความพร้อมด้านการจัดการวัตถุดิบสำคัญ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของระบบควบคุมในรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ แนวทางที่เหมาะสมคือการสร้าง “แผนกระจายความเสี่ยงของแหล่งวัตถุดิบ” หรือ Dual-/Triple-Sourcing (การจัดซื้อจากหลายแหล่งพร้อมกัน) เพื่อแสดงให้ลูกค้าในสหรัฐฯ เห็นว่าผู้ผลิตไทยมีระบบจัดการ ซัพพลายเชนที่มั่นคง โรงงานควรจัดทำ “BOM Mapping” (Bill of Materials Mapping หรือแผนผังวัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ในการผลิต) เพื่อระบุชิ้นส่วนใดที่พึ่งพาแหล่งเดียว แล้วหาชิ้นส่วนทดแทนที่ผ่านการรับรองไว้ล่วงหน้า รวมถึงเตรียม “สต็อกสำรองเพื่อความปลอดภัย” (Safety Stock) สำหรับสินค้าที่มักขาดตลาด เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์ต่อพ่วง การเตรียมระบบดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้การผลิตในประเทศไม่สะดุด แต่ยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าต่างประเทศว่าโรงงานไทยมีศักยภาพเป็นผู้จัดหาที่ไว้วางใจได้ในช่วงที่ห่วงโซ่อุปทานโลกยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ
-
ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนภายใต้แนวคิด “Cost-Down with Value-Up” (แนวคิดที่พัฒนามาจากระบบการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น) ซึ่งหมายถึงการลดต้นทุนในกระบวนการผลิตโดยไม่ลดคุณภาพของสินค้า แต่ในทางกลับกันต้องเพิ่มคุณค่าหรือประสิทธิภาพของชิ้นส่วนให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะต้นทุนสูงจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางนี้สามารถทำได้โดยการออกแบบหรือเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดน้ำหนักและยืดอายุการใช้งาน เช่น การใช้วัสดุคอมโพสิตเคลือบผิวกันรอย วัสดุซับเสียงและแรงสั่นสะเทือน (NVH – Noise, Vibration, and Harshness Material) หรือพัฒนาโมดูลไฟฟ้าที่มีระบบระบายความร้อน (Thermal Management System) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หากผู้ประกอบการสามารถนำเสนอชิ้นส่วนที่ช่วยให้ “ต้นทุนรวมการเป็นเจ้าของ” ของลูกค้า (Total Cost of Ownership – TCO) ลดลงได้ จะมีโอกาสได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศและผ่านการพิจารณาเป็นผู้จัดจำหน่าย (Supplier Approval) ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
-
ในด้านการจัดซื้อและสัญญาซื้อขาย ควรนำระบบ Index-Linked Contract มาใช้เพื่อบริหารความผันผวนของราคาวัตถุดิบและค่าขนส่ง โดยกำหนดให้ราคาซื้อขายผูกกับดัชนีราคาโลหะ เช่น LME Aluminum Index หรือ Fuel Surcharge Index เพื่อป้องกันความเสียหายจากการปรับราคากะทันหันในช่วงตลาดผันผวน แนวทางนี้ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถวางแผนต้นทุนได้แม่นยำและรักษาเสถียรภาพของสัญญาระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยควรจับสัญญาณดีมานด์ของรถกระบะและรถเชิงพาณิชย์ในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวหลัง Ford ประกาศเพิ่มกำลังผลิตที่ Kentucky Truck Plant และเตรียมทดแทนกำลังการผลิตที่สูญเสียจากเหตุเพลิงไหม้ การเตรียมวัตถุดิบและกำลังการผลิตล่วงหน้าในกลุ่มชิ้นส่วนระบบไฟ ยาง และ อินทีเรียร์ทนทาน จะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งซื้อใหม่ได้อย่างทันท่วงที
ในอีกด้านหนึ่งสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองไมอามี (สคต. ไมอามี) ได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ระดับโลกที่มีโรงงานในสหรัฐฯ และได้รับข้อมูลว่าความต้องการวัตถุดิบโลหะ โดยเฉพาะอะลูมิเนียม กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทดังกล่าวกำลังมองหาโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะในประเทศไทยเพื่อทำสัญญาว่าจ้างระยะยาว ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับโรงงานไทยที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเหล็กที่สามารถผลิตและขึ้นรูป Fabricated Metal ด้วยกรรมวิธี Laser Cutting หรือ CNC Press Brake โรงงานผลิต Plastic Injection Molded Product หรือโรงงานผลิต Wire Harness และโรงงานอะลูมิเนียมที่มีเทคโนโลยีการผลิตตามมาตรฐานสากล TTCM ขอเชิญผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติครบถ้วนติดต่อโดยตรงหรือผ่านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อเข้าร่วมโอกาสทางธุรกิจนี้
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตและผู้ส่งออกชิ้นส่วนโลหะของไทยที่มีลูกค้าเดิมในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อุตสาหกรรมอื่น ควรใช้ช่วงเวลานี้กลับไปติดต่อคู่ค้ารายเดิมผ่านช่องทางที่เคยใช้ เช่น อีเมล การประชุมออนไลน์ หรือการเยี่ยมเยือนโดยตรง เพราะช่วงเวลาที่ห่วงโซ่อุปทานตึงตัวเช่นนี้ คู่ค้าหลายรายกำลังมองหาแหล่งผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ การแสดงความพร้อมและติดต่อเชิงรุกในระยะนี้อาจทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับคำสั่งซื้อใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่มเติม การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการขยายโอกาสในตลาดสหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมโลกในปัจจุบัน
*********************************************************
ที่มา: CBT News
เรื่อง: “U.S. automakers struggle with parts shortages and halted output”
โดย: Ashby Lincoln
สคต. ไมอามี /วันที่ 21 ตุลาคม 2568
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐฯ ระส่ำเหตุขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์และต้องหยุดการผลิต
