สำนักงานงบประมาณ การบัญชี และสถิติแห่งไต้หวันได้ประกาศปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 4.45% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เพียง 3.1% โดยสาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่แข็งแกร่งอย่างไม่คาดคิด โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งในรายงานล่าสุด สถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (ITRI) ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์มูลค่าการผลิตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันในปีนี้ขึ้นเป็นกว่า 22% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 7.15 ล้านล้านเหรียญไต้หวัน ตัวเลขที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการชิปขั้นสูงที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิปที่ใช้ในงานด้าน AI ซึ่งบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ผู้นำด้านการผลิตชิปของโลก ได้ออกมาแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันและได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายของตัวเองขึ้นด้วยเช่นกัน
ในส่วนของความเสี่ยงจากนโยบายด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นั้น ถึงแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดูสดใส แต่เหล่านักเศรษฐศาสตร์ยังคงมองเห็นความไม่แน่นอนที่มาจากนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยเก็บภาษีพื้นฐาน 20% สำหรับสินค้าที่ผลิตในไต้หวัน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวัน ชี้ว่า การส่งออกของไต้หวันไปยังสหรัฐฯ กว่า 70% จะเป็นสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ซึ่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีดังกล่าว และอีก 30% ที่เป็นสินค้าจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่ก็ส่งออกไปยังจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าตลาดสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี รัฐบาลยังต้องประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน และควรมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาแรงกระแทกให้กับผู้ส่งออกและอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้บริษัทต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิตและการลงทุนกลับไปสู่สหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้การลงทุนในไต้หวันลดลงและทำให้งานที่มีรายได้สูงไหลออกนอกประเทศ กระทบต่อการบริโภคภายในไต้หวันอย่างรุนแรง อีกทั้ง ภาษีได้กลายเป็น “สภาพปกติใหม่” (new normal) ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ก็ตาม ดังนั้นภาคธุรกิจจึงควรเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือในระยะยาว โดยไต้หวันควรเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และส่งเสริมภาคส่วนอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน และระบบอัจฉริยะ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ในระยะยาว
การบริโภคภายในไต้หวันอ่อนแอลง แม้ว่าการส่งออกจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ข้อมูลจาก DGBAS กลับชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างแรงขับเคลื่อนจากภายนอกและภายในไต้หวัน ตัวเลขล่าสุดแสดงให้เห็นว่า การบริโภคของภาคเอกชนมีสัดส่วนต่อ GDP เพียง 0.4% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับสัดส่วน 2.71% ที่มาจากอุปสงค์ภายนอก ตัวเลขมูลค่าค้าปลีกในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ที่หดตัวลง 0.4% และหดตัวถึง 2.9% ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว สะท้อนให้เห็นถึงภาวะการบริโภคที่ซบเซาอย่างชัดเจน โดยสองเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย คือ ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีที่ทำให้ผู้คนชะลอการซื้อสินค้ามูลค่าสูงๆ เช่น รถยนต์ และการที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอตัวหลังจากรัฐบาลออกมาตรการเพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรเพื่อลดความร้อนแรงของราคา ซึ่งมาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวันเห็นว่า รัฐบาลควรมีมาตรการเชิงรุกมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและฟื้นฟูความเชื่อมั่น เช่น การแจกเงินสดถ้วนหน้าเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ หรือการผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยธนาคารกลาง
ที่มา: Taipei Times (18 August 2025)
ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นของ สคต.
ความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไต้หวันต่อยอดจุดแข็งของตัวเองในด้านการผลิต Semiconductor ซึ่งเป็นที่ต้องการของทั่วโลก และเป็นพื้นฐานสำคัญของ AI ซึ่งเป็นแนวโน้มความต้องการของโลก โดยไต้หวันส่งเสริมการพัฒนา AI และมอง AI เป็นเครื่องยนต์ใหม่ทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยพยุงการเติบโตได้จริง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI, เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเป็นกลุ่มดาวรุ่งที่น่าจับตามอง ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ซอฟต์แวร์, หรือแม้แต่การบริการที่รองรับห่วงโซ่อุปทานของกลุ่ม AI อาจใช้โอกาสนี้สร้างความร่วมมือกับบริษัทไต้หวันได้มากขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
อ่านข่าวฉบับเต็ม : เศรษฐกิจไต้หวันพุ่งแรงด้วย AI
