การแสดงจุดยืนปกป้องเม็กซิโกจากการคุกคามของสหรัฐ ช่วยผลักดันคะแนนความนิยมของประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม เพิ่มสูงขึ้นเป็น 85% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงแรงสนับสนุนจากจากประชาชนในการเผชิญกับแรงกดดันทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ
ผลสํารวจความคิดเห็นประชาชนของหนังสือพิมพ์ El Universal แสดงคะแนนความนิยมต่อประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ในเดือนมีนาคม 2568 เพิ่มเป็น 85% โดยเพิ่มขึ้นจาก 80% ในเดือนกุมภาพันธ์ และ 77% ในเดือนมกราคม โดยคะแนนความนิยมดังกล่าวสูงกว่าประธานาธิบดี Andrés Manual López Obrador ที่เคยได้รับคะแนนสูงสุดที่ 76% ทั้งนี้ คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีเชนบามที่พุ่งสูงขึ้นมาจากความพึงพอใจของประชาชนต่อการรับมือกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประธานาธิบดีเชนบามได้แสดงจุดยืนที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ และเน้นย้ำว่าเม็กซิโกจะยืนหยัดที่จะต่อสู้กับการถูกครอบงำจากประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นมหาอำนาจ โดยเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเชนบามได้จัดแถลงการณ์เกี่ยวกับผลการเจรจากับประธานาธิบดีทรัมป์ที่สามารถเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า 25% กับสินค้าจากเม็กซิโกออกไปอีกเป็นครั้งที่ 2 (เป็นวันที่ 2 เมษายน 2568) ซึ่งการบรรลุข้อตกลงดังกล่าวกับสหรัฐช่วยให้เม็กซิโกสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตเศรษฐกิจได้ระยะหนึ่ง และรัฐบาลเม็กซิโกยังคงพยายามเจรจากับสหรัฐเพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมและเกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ประชาชนยังพึงพอใจกับนโยบายด้านสังคมของรัฐบาล เช่น การให้สวัสดิการเงินช่วยเหลือสำหรับผู้สูงอายุ การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน/นักศึกษา และนโยบายด้านสังคมอื่นๆ ในด้านเศรษฐกิฐหนึ่งในผลงานรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนพึงพอใจคือการสร้างงาน โดยสถิติการจ้างงานอย่างเป็นทางการและลงทะเบียนในระบบของสถาบันประกันสังคมแห่งชาติเม็กซิโก (Instituto Mexicano del Seguro Social: IMSS) ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีมากกว่า 22.43 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ อัตราค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานในประเทศได้ทำสถิติสูงสุดที่ 619.6 เปโซต่อวัน หรือประมาณ 30 เหรียญสหรัฐ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างนี้เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 12% อยู่ที่ 278.80 เปโซต่อวัน หรือประมาณ 13.50 เหรียญสหรัฐ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ รัฐบาลเม็กซิโกยังคงเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเต็มที่ โดยได้ส่งตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้ายาเสพติดจำนวน 29 ราย ไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมาย ในจำนวนนี้ มี 17 รายถูกจับกุมในช่วงการดำรงตำแหน่งของอดีตประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ระหว่างปี 2018-2024 และ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกส่งตัวคือ นาย ราฟาเอล คาโร ควินเตโร (Rafael Caro Quintero) ผู้ก่อตั้งแก๊งค้ายาเสพติดกัวดาลาฮารา (Guadalajara Cartel) ซึ่งปัจจุบันได้ยุบตัวไปแล้ว นาย ราฟาเอล เป็นบุคคลที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีสังหารเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ (DEA) เอ็นริเก้ กีกี คามาเรนา (Enrique “Kiki” Camarena) ทั้งนี้ นโยบายการปราบปรามอาชญากรรมของรัฐบาลเม็กซิโกถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่มีเป้าหมายเพื่อลดความรุนแรงและสร้างเสถียรภาพในประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะช่วยให้การเจรจากับสหรัฐฯ ในด้านอื่นๆ มีความคืบหน้ามากขึ้นด้วย
แม้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้อาจชะลอตัวลง แต่ประธานาธิบดีเชนบามได้ให้ความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของเม็กซิโกยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีแผนยุทธศาสตร์ “Plan México” เป็นแนวทางหลักในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ และรัฐบาลจะคงดำรงจุดยืนในการเจรจาความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา และจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเม็กซิโกอย่างเต็มที่
——————————————————————
ที่มา
https://edition.cnn.com/2025/03/06/economy/tariffs-delay-mexico-canada/index.html
- Mexican Presidency
https://www.youtube.com/live/xJnUE7e-8Lc?si=_B68dhx4lCxzb0id
อ่านข่าวฉบับเต็ม : คะแนนความนิยมประธานาธิบดีเม็กซิโกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หลังรับมือวิกฤตมาตรการสหรัฐฯ