ตามรายงานของ S&P Global เกี่ยวกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เผยให้เห็นว่าปัจจัยค่าเงินที่อ่อนค่าและราคาเชื้อเพลิงทำให้ต้นทุนปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จำกัดกิจกรรมการจัดซื้อ และทำให้การเติบโตในภาคส่วนต่างๆ ลดลง โดยที่ภาคเอกชนของไนจีเรียต้องดิ้นรนกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งเกิดจากค่าเงินที่อ่อนค่าและราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นโดยดัชนี PMI เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 49.6 ซึ่งบ่งชี้ถึงการลดลงเล็กน้อยของกิจกรรมภาคเอกชนเมื่อเทียบกับ 46.9 ของเดือนตุลาคม แม้ว่าคำสั่งซื้อใหม่จะฟื้นตัวเล็กน้อยและผลผลิตหดตัวลงเล็กน้อย แต่แรงกดดันด้านราคาที่รุนแรงยังคงเป็นความท้าทายต่อธุรกิจโดยเฉพาะการเสื่อมถอยของสภาพธุรกิจที่ไม่เด่นชัดนักนั้นสะท้อนให้เห็นการขยายตัวของคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าราคาที่สูงขึ้นจะยังคงขัดขวางลูกค้าจำนวนมาก ก็ตาม และระดับการจ้างงานยังลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนซึ่งการลดลงของจำนวนพนักงานนั้นเห็นได้ชัดเจนที่สุดในภาคบริการเนื่องจากธุรกิจต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากในการดำเนินกิจการภายใต้ภาระต้นทุนที่สูงขึ้น สภาพแวดล้อมที่เงินเฟ้อสร้างความตึงเครียดอย่างมากให้กับธุรกิจโดยบางแห่งไม่สามารถรักษาระดับกำลังแรงงานไว้ได้ ธุรกิจต่างๆ รายงานว่าต้นทุนการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นผลมาจากราคาเชื้อเพลิงและวัตถุดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินไนร่าที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
รายงานยังระบุอีกว่า ต้นทุนปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจทำให้ต้องตัดสินใจที่ยากลำบากเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้โดยที่ต้นทุนด้านพนักงานยังพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากบริษัทต่างๆ สนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับพนักงานที่ต้องเผชิญกับค่าขนส่งและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ดังนั้น เพื่อชดเชยต้นทุนปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจต่างๆ จึงปรับขึ้นราคาผลผลิตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมด้านอุปสงค์ที่ซบเซาเลวร้ายลงซึ่งบริษัทหลายแห่งลดกิจกรรมการจัดซื้อและสินค้าคงคลังลง ขณะที่บางแห่งลดขนาดการดำเนินงานลงโดยสิ้นเชิง รวมทั้ง ความเชื่อมั่นทางธุรกิจอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ซึ่งตอกย้ำถึงความกังวลที่ยังคงมีอยู่เกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ในแง่ดี เวลาจัดส่งของซัพพลายเออร์ดีขึ้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากสภาพถนนที่ราบรื่นขึ้น การชำระเงินตรงเวลา และพลวัตของซัพพลายเออร์ที่มีการแข่งขันกัน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นเหล่านี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาปัญหาที่กว้างขึ้นที่ภาคเอกชนของไนจีเรียต้องเผชิญ โดยที่เส้นทางสู่การฟื้นตัวจะต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ความไม่แน่นอนของสกุลเงินและต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของไนจีเรีย การขนส่งดูเหมือนจะเป็นปัจจัยเชื่อมโยงที่ก่อให้เกิดความยากลำบากแก่ประเทศเนื่องมาจากค่าครองชีพที่สูง ตัวอย่างเช่น ทันทีที่ราคาน้ำมันขยับจาก 195 ไนร่าต่อลิตรเป็น 438 ไนร่าและ 557 ไนร่าต่อลิตร และราคาสินค้าในตลาดก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารที่ขายในราคาต่ำกว่า 500 ไนร่าต่อหน่วย ในปัจจุบันขายอยู่ที่ 2,300 ไนร่าถึง 3,500 ไนร่าต่อหน่วย
ปัจจุบัน รัฐบาลยังคงจ่ายเงินอุดหนุนเป็นจำนวนมากทุกเดือนเพื่อชดเชยการขาดแคลนน้ำมันเบนซินที่จะขายได้ในราคา 1,110 ไนร่าถึง 1,350 ไนร่าในไนจีเรีย ทั้งนี้ ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2023 และปัจจุบัน รัฐบาลกลางได้ปรับขึ้นราคาน้ำมันหลายเท่า จาก 195 ไนร่าเป็น 448 ถึง 557 ไนร่าต่อลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้น 185.64% การปรับขึ้นครั้งที่สองเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2023 โดยเพิ่มขึ้นจาก 557 ไนร่าเป็น 617 ไนร่าต่อลิตร ทำให้เพิ่มขึ้น 10.77% บริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติไนจีเรียกล่าวว่าการปรับขึ้นราคาเกิดจากกลไกของตลาดในเดือนกันยายน 2024 รัฐบาลกลางได้ปรับขึ้นราคาน้ำมันจาก 855 ไนร่าเป็น 897 ไนร่าต่อลิตร ซึ่งเพิ่มขึ้น 45.38% และหนึ่งเดือนต่อมาคือตุลาคม 2024 รัฐบาลกลางได้ปรับขึ้นราคาน้ำมันอีกครั้งจาก 897 ไนร่าเป็น 1,030 ไนร่าต่อลิตร
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาคการขนส่งได้อธิบายว่าการขนส่งช่วยให้เข้าถึงตลาดได้โดยเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคเพื่อให้เกิดธุรกรรม การขนส่งจึงเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจในการผลิตสินค้าและบริการซึ่งหมายความว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานในยุคของการผลิตไม่ว่าจะมีต้นทุนเท่าใด กิจกรรมใดๆ ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีปัจจัยการขนส่งและความคล่องตัวที่ปัจจัยดังกล่าวมอบให้ ดังนั้น ต้นทุนการขนส่ง ความจุ และการเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพที่ค่อนข้างน้อยจึงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาอาศัยกันอย่างมาก โดยที่ระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพพร้อมโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยจะเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหลายประการซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปในทางบวก อีกทั้ง ความสำคัญทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมการขนส่งจึงสามารถประเมินได้จากมุมมองเศรษฐศาสตร์มหภาคและเศรษฐศาสตร์จุลภาคซึ่งในระดับเศรษฐศาสตร์มหภาค (ความสำคัญของการขนส่งสำหรับเศรษฐกิจโดยรวม) การขนส่งและการเคลื่อนที่ที่เกี่ยวข้องมีความเชื่อมโยงกับระดับผลผลิต การจ้างงาน และรายได้ภายในเศรษฐกิจของประเทศซึ่งในเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง การขนส่งคิดเป็นสัดส่วนระหว่าง 6% ถึง 12% ของ GDP นอกจากนี้ ต้นทุนด้านโลจิสติกส์อาจมีสัดส่วนระหว่าง 6% ถึง 25% ของ GDP และในระดับเศรษฐศาสตร์จุลภาค (ความสำคัญของการขนส่งสำหรับส่วนเฉพาะของเศรษฐกิจ) การขนส่งมีความเชื่อมโยงกับต้นทุนของผู้ผลิต ผู้บริโภค และการกระจายสินค้า
รายงานระบุเพิ่มเติมว่าจากการสำรวจในตลาดบางแห่งในกรุงอาบูจาได้ยืนยันอีกครั้งว่าต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจผ่านการขึ้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกชนิดโดยที่ในเดือนพฤษภาคม 2024 ข้าวสาร 50 กก. หนึ่งถุงขายได้ในราคา 70,000 ถึง 72,000 ไนร่าในตลาดกรุงอาบูจาและรัฐใกล้เคียง ส่วนราคาขายกระสอบละ 25 กก. อยู่ที่ 32,000-35,000 ไนร่า ในขณะที่กระสอบละ 10 กก. อยู่ที่ 14,000-16,000 ไนร่า ซึ่งการนำสินค้ามาที่ตลาดกรุงอาบูจาหากใช้จ่ายกับค่าโดยสารมากขึ้นก็ต้องมีการปรับราคาเพื่อเอาเงินคืนมา โดยในขณะนี้ ราคาข้าว 50 กก. เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 87,000 ไนร่าขึ้นไป ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและคุณภาพของข้าว ดังนั้น ตราบใดที่รัฐบาลกลางยังคงจ่ายเงินอุดหนุนค่าเชื้อเพลิง ราคาของน้ำมันและสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปเนื่องจากจะต้องมีคนจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการนำเข้า แม้ว่าโรงกลั่นน้ำมัน Dangote จะเข้ามาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับไนจีเรีย แต่ส่วนใหญ่แล้วน้ำมันจะนำเข้า ดังนั้นจึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากอัตราแลกเปลี่ยนที่พุ่งสูงขึ้น
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ภาคเอกชนไนจีเรียกับค่าเงินไนร่าที่อ่อนค่าและราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น