จากการประชุมประจำปีของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี ที่กรุงอาบูดาบีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมี Sheikh Mohammed bin Rashid รองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีและผู้ปกครองรัฐดูไบเป็นประธาน ได้มีการเปิดตัวกลยุทธ์ใหม่เพื่อเพิ่มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สองเท่าตัว หรือเพิ่มขึ้น 354 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2574 โดยการปรับโครงสร้างสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม จะมุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนสำคัญๆ เช่น การผลิตขั้นสูงและพลังงานหมุนเวียน ผ่านทิศทางเชิงกลยุทธ์ 5 ประการ ได้แก่ การดึงดูดการลงทุนใหม่ในภาคส่วนสำคัญ การขยายการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในโครงการที่มีอยู่ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การปรับปรุงความสัมพันธ์กับนักลงทุน และการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
สถานการณ์การลงทุนโดยตรงของยูเออีนั้นมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้ ยูเออีได้ตั้งเป้าหมายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศภายในปี 2574 ที่ 150 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และสู่เป้าหมาย 272 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2594 และต้องการที่จะติดอยู่ในกลุ่ม 10 ประเทศแรกที่มี FDI สูงของโลก โดยรัฐบาลได้วาง กลยุทธ์การลงทุนแห่งชาติปี 2574 (The National Investment Strategy 2031) กำหนดแผนงานและความคิดริเริ่มอย่างรอบคอบ เพื่อวางตำแหน่งให้ยูเออีเป็นศูนย์กลางการลงทุนเชิงกลยุทธ์ระดับโลก เพื่อดึงดูดการลงทุนจากบริษัทต่างชาติ กระตุ้นให้มีการขยายการลงทุนของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศอยู่แล้ว โดยเน้นความได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ศูนย์รวมของผู้มีความสามารถ และการเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก นอกจากนี้รัฐมนตรีอื่นๆที่เข้าร่วมประชุมกล่าวเสริมว่า รัฐบาลยูเออีมีนโยบายให้ความสำคัญเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพลเมือง และรักษาสถานะของประเทศในฐานะต้นแบบของโลก ให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ความเป็นชาติ ครอบครัว และปัญญาประดิษฐ์ เป็นหัวใจสำคัญของความพยายามของรัฐบาล
ความสำคัญกับการลงทุนจากต่างประเทศ
ยูเออีเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอาหรับ มีนโยบายกระตุ้น FDI พร้อมปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อลดการพึ่งพิงรายได้จากน้ำมันในระยะยาว จากรายงานการลงทุนโลกประจำปี (World Investment Report) เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 จัดทำโดย UN Conference on Trade and Development (UNCTAD) ระบุว่าในปี 2566 มีเงินทุนไหลเข้าของยูเออีที่ 30.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับปี 2565 มูลค่า 22.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 35 ในขณะที่เงินทุนไหลเข้ายูเออีอยู่ที่ 22.3 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปี 2565 มูลค่า 24.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
จากข้อมูลของกระทรวงการลงทุนของยูเออี (Ministry of Investment) แสดงยอดดุลการลงทุน FDI ของยูเออีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยระหว่างปี 2556- 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 150 เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 97
นอกจากนี้ รายงานของ UNCTAD ประจำปี 2566 ได้จัดอันดับยูเออีเป็นตลาดใหญ่อันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา ในประเภทการลงทุนใหม่ (Greenfield FDI) เนื่องจากยูเออีส่งเสริมธุรกิจด้วยนโยบายที่เป็นมิตรกับ นักลงทุน Greenfield FDI เช่น ความสะดวกรวดเร็วในการจัดตั้งบริษัทใหม่ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับธุรกิจ โดยมีจำนวน Greenfield FDI ประมาณ 1,323 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการลงทุนใหม่ 2,152 โครงการ
กลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน
เพื่อกระตุ้นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ยูเออีได้เปิดตัวโครงการต่าง ๆ รวมถึงอนุญาตการถือหุ้นของต่างชาติได้ 100% ในบริษัท การลดข้อจำกัดด้านวีซ่า สร้างสิ่งจูงใจสำหรับ SMEs อีกทั้งในปี 2565 ได้เปิดตัวโครงการ Next Gen FDI เพื่อดึงดูดบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โครงการนี้จะเน้นบริษัทที่นำนักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล โปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ และผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัล โดยจะให้วีซ่าทองคำ (golden visa) ซึ่งเป็นวีซ่าพำนักระยะยาวที่อนุญาตให้ต่างชาติผู้มีความรู้ความสามารถจากต่างประเทศสามารถอาศัยและทำงาน ให้ความสะดวกบริการด้านการเงิน และให้แรงจูงใจในการเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการย้ายเข้ามาในประเทศ นอกจากนี้ ยูเออีได้ทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม Comprehensive Economic Partnership Agreement :CEPA) กับอีกหลายประเทศ เพื่อเสริมสร้างการลงทุนทวิภาคี
ตามรายงานของกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระบุอุตสาหกรรมการลงทุนจากต่างประเทศที่มีแนวโน้ม ได้แก่ Fintech, Agrotech การดูแลสุขภาพ การศึกษา Ecommerce การท่องเที่ยว การบินและอวกาศ บริการด้านโลจิสติกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การผลิต พลังงานทดแทน เกมและเมืองอัจฉริยะ
ในโอกาสเดียวกัน ยูเออียังได้เปิดตัวแบรนด์ InvestUAE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรในการส่งเสริมให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการลงทุนระดับโลก โดยกระทรวงการลงทุนจะเป็นผู้กำหนดนโยบายและกฎระเบียบ ในขณะที่ InvestUAE ทำหน้าที่ดูแลด้านการส่งเสริม รวมถึงการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ การประชุมสุดยอด งานระดับนานาชาติ และการตลาดดิจิทัลที่มุ่งเป้าไปที่นักลงทุนระดับโลก
ส่วนข้อมูลของ Kearney’s 2024 Foreign Direct Investment Confidence Index เผยว่านักลงทุนต่างชาติยังคงมีความเชื่อมั่นในประเทศยูเออีอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ติดอยู่ใน 8 อันดับแรก ขยับจากอันดับที่ 18 เมื่อปีก่อน นอกจากนี้ ยังมาอยู่ที่อันดับ 2 ในดัชนีตลาดเกิดใหม่ของ Kearney ตามหลังจีน โดยขยับขึ้นจากอันดับ 3 เมื่อปีที่แล้ว และยังเผยอีกว่า การที่ยูเออีอยู่ในอันดับต้นๆนี้ เป็นการสะท้อนที่ชัดเจนถึงการผลักดันอย่างเด็ดขาดในการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ซึ่งตอกย้ำสถานะของประเทศที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนระดับโลก ซึ่งการจัดอันดับดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งได้รับแรงผลักดันจากประวัติการปฏิรูปนโยบายที่ต่อเนื่องยาวนานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ความเห็นของ สคต.ดูไบ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสร้างประโยชน์มากมายให้กับเศรษฐกิจของยูเออี และเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ทำให้เกิดการจ้างงานและการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีระหว่างบริษัทต่างชาติและผู้ประกอบการยูเออีที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมของยูเออีเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง รัฐบาลวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนวัตกรรมเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีพลวัต พยายามผลักดันประเทศให้เป็นศูนย์ผลิตสินค้าด้วยเทคโยโลยีระดับสูงเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพิงเศรษฐกิจน้ำมันจนเกินไป โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยครอบคลุมภาคอุตสาหกรรมในสาขาสำคัญที่จะทำให้เกิดการเติบโตของผลิตภาพด้วย เพื่อสร้างรายได้สู่ประเทศ นอกเหนือจากน้ำมันที่เป็นรายได้หลัก
———————————————————————————
ที่มา:WAM
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ยูเออีเปิดตัวกลยุทธ์ใหม่หวังเพิ่มเม็ดเงิน FDI เป็น 353.74 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี พ.ศ. 2574