หน้าแรกTrade insightอาหาร > สถานการณ์ตลาดปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯ

สถานการณ์ตลาดปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯ

สถานการณ์ตลาดปลาและอาหารทะเลในสหรัฐอเมริกา

สหรัฐนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคอาหารทะเลมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก จากข้อมูลของ World Population Review ซึ่งเป็นองค์กรณ์รวบรวมฐานข้อมูล พบว่าสหรัฐฯ มียอดการบริโภคอาหารทะเลสูงถึง 7,544,000 ตัน และมียอดการบริโภคอาหารทะเลโดยเฉลี่ยต่อคนเป็นปริมาณ 22.79 กิโลกรัม ทำให้สหรัฐฯนั้นเป็นประเทศอันดับที่ 4 ของโลกในการบริโภคอาหารทะเลรองจาก จีน อินโดนีเซีย และ อินเดีย

การคาดการณ์มูลค่าอาหารทะเลแยกตามประเภท ปี 2560-2561

สถานการณ์ตลาดอาหารทะเลในสหรัฐฯ

จากข้อมูลของ Mordor Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาด ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าขนาดของตลาดอุตสาหกรรมปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯ ในปี 2567 นั้นจะมีขนาดสูงถึง 24,360 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ Mordor Intelligenceยังคาดว่าตลาดอุตสาหกรรมปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯ ในปี 2572 จะเติบโตไปถึง 25,930 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากพิจารณาโดยไม่แยกสายพันธุ์ สินค้าอาหารทะเลที่ขายได้ดีที่สุด ได้แก่ ปลา สัตว์น้ำที่เปลือกแข็งเช่น กุ้ง ปู และ สัตว์จำพวกหอย ตามลำดับ สินค้าจำพวกปลานั้นเป็นผู้นำของตลาดโดยมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 63.27 ของยอดการขายทั้งหมดและชนิดของสินค้าอาหารทะเลที่ขายดีที่สุดนั้นได้แก่สินค้าอาหารทะเลแช่แข็ง ซึ่งครองตลาดเนื่องจากความถูกของสินค้าชนิดนี้และเป็นสินค้าที่หาซื้อได้โดยง่าย จากข้อมูลของ องค์การบริหารทางทะเลและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) สินค้าอาหารทะเลสด แช่แข็ง และแบบกระป๋องนั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่า สินค้าอาหารทะเลที่ผ่านการถนอมอาหารเช่น การรมควัน หรือ ตากแห้ง นั้นไม่ได้มีการเติบโตมากเท่าสินค้ารูปแบบอื่นเนื่องจากสินค้าชนิดนี้ยังนับว่าเป็นสินค้าที่มีการบริโภคเป็นเฉพาะกลุ่ม

หากแยกสินค้าอาหารทะเลชนิดต่างๆออกเป็นแต่ละสายพันธุ์ อาหารทะเลที่ได้รับการบริโภคมากที่สุดในสหรัฐฯนั้นได้แก่ กุ้ง จาก ข้อมูลของ NOAA ชาวสหรัฐฯนั้นกินกุ้งโดยเฉลี่ยปีละ 2.4 กิโลกรัม ตามมาด้วยแซลมอนที่ 1.49 กิโลกรัม ปลาทูน่ากระป๋องที่ 0.95 กิโลกรัม ปลานิลหรือทิลอาเพีย (Tilapia) นั้นมียอดการบริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ 0.49 กิโลกรัม และ ปลาอลาสกาพอลล็อคที่ 0.44 กิโลกรัมโดยเฉลี่ยต่อปี

 

การนำเข้าอาหารทะเลของสหรัฐฯ

จากข้อมูลของ Global Trade Atlas พบว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารทะเลและปลาจากประเทศไทยนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 285 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐใน ปี 2565 และลดลงมากว่าร้อยละ 26.09 ในปี 2566 ที่ 226 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าอาหารทะเลจำพวก ครัสเตเชียน (Crustacean) หรือ สินค้าจำพวก ปู กุ้ง และ กั้ง

มูลค่าการนำเข้าอาหารทะเลของสหรัฐฯ จาก ไทย (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

เทรนตลาดอาหารทะเลในสหรัฐฯ

1. ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใส

จากข้อมูลของ Mordor Intelligence เนื่องจากความต้องการบริโภคของปลาและอาหารทะเลที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดการประมงที่เกินขีดจำกัด ส่งผลให้สัตว์น้ำบางชนิดนั้นลดลงเป็นอย่างมาก ผู้บริโภคในสหรัฐฯนั้นเริ่มที่จะตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการบริโภคของตน ทำให้ชาวอเมริกันนั้นเสาะหาสินค้าอาหารทะเลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ชาวอเมริกันนั้นยังให้ความสนใจกับความโปร่งใสโดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการตรวจสอบกระบวนการผลิต ตั้งแต่การจับปลาจนถึงการนำมาวางขายในร้านเพื่อเพิ่มความมั้นใจให้กับผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นผู้บริโภคชาวอเมริกันนั้นยังให้ความสนใจกับฉลากที่ระบุว่าสินค้านั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น ฉลาก Dolphin Safe ที่ระบุว่ากระบวนการจับปลานั้นไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อปลาโลมา ฉลาก MSC ซึ่งเป็นฉลากที่แสดงให้ถึงประมงที่ผ่านการรับรองเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือฉลาก Seafood Watch ที่บ่งบอกว่าสินค้าอาหารทะเลนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ความกังวลของผู้บริโภคในด้านความโปร่งใสคือหนึ่งในความท้าทายของตลาดปลาและอาหารทะเลในการเติบโต จากผลสำรวจของ Euromonitor คาดว่า บริษัทต่างๆมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความพยายามทางการตลาดในด้านการปรับมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อการประมง หนึ่งในวิธีการเพิ่มความน่าเชื่อที่คาดว่าจะได้รับความนิยมนั้นก็คือการเพิ่มความสามารถในการเพิ่มการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เช่น Walmart หนึ่งในผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐฯ ได้มีการประกาศเพิ่มความเข้มข้นในการคัดเลือกผู้ผลิตปลาทูน่าโดยเรือที่ออกไปจับปลาทูน่านั้นจะต้องมีผู้สังเกตการณ์ตลอดเวลา ซึ่งมาตราฐานใหม่นี้น่าจะมีผลกระทบเป็นวงกว้างในตลาดอุตสาหกรรมปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯ

2. ผลของปัญหาด้านสุขภาพต่อการเพิ่มการบริโภคปลาและอาหารทะเลในสหรัฐอเมริกา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบริโภคปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากกระแสความใส่ใจในสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯ ผู้คนนั้นหันมาสนใจมาบริโภคเนื้อปลาและอาหารทะเลมากยิ่งขึ้นเนื่องจากเป็นแหล่งของโปรตีนและสารอาหารที่มีประโยชน์ ปลาและอาหารทะเลนั้นถูกมองว่าเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากอุดมไปด้วย กรดไขมัน Omega 3 และ วิตามินต่างๆ จากแบบแบบสอบถามของ Food Marketing Institute ซึ่งเป็นสถาบันการตลาดด้านอาหาร กว่าร้อยละ 66 ของชาวอเมริกันนั้นได้ให้ความใส่ใจกับสุขภาพและมีแนวโน้มที่จะกินอาหารทะเลมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มนี้สะท้อนไปยังหลากหลายกลุ่มของประชากร

 

ผู้ประกอบการรายใหญ่ในสหรัฐฯ

สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลในสหรัฐฯ บริษัท Trident Seafoods ถือได้ว่าเป็นบริษัทขายสินค้าอาหารทะเลที่ใหญ่สุด โดยขายผลิตภัณฑ์จาก ปลาแซลมอน ปลาพอลล็อค ปลาคอด กุ้ง ปลาลิ้นหมา (Flounder) และ ปลาอีโต้มอญ (Mahi Mahi) อันดับที่สอง ได้แก่ Tri Marine International ที่ขายสินค้าจากปลาทูน่า และ Chicken of the Sea ที่ขาย สินค้าจาก ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และ กุ้ง

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนส่งออกสินค้าปลาและอาหารทะเลไปยังสหรัฐฯ

  1. ข้อกำหนดเกี่ยวกับสินค้าและอาหารทะเลของกฎระเบียบองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (S. FDA.) ได้แก่ Code of Federal Regulation Title 21 Part 123 และ Federal Registration Volume 60 Issue 242 ที่ควบคุมมาตราฐานและความอนามัยของกระบวนการผลิตของสินค้าปลาและอาหารทะเล นอกจากนี้ยังมีมาตราฐาน HACCP หรือชื่อเต็มคือHazard Analysis Critical Control Point และ Current Good Manufacturing Practice หรือ (cGMP) ที่ควบคุมความปลอดภัยของอาหารสำหรับผู้บริโภค

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.ecfr.gov/current/title-21/chapter-I/subchapter-B/part-123

https://www.pcbusa.com/industries/fish-shellfish

  1. กฎระเบียบ Seafood Import Monitoring Programs (SIMP) นั้นเป็นโปรแกรมการตรวจสอบที่กำหนดให้ผู้นำเข้าของสหรัฐฯ นั้นจัดทำและรายงานข้อมูลสำคัญตั้งแต่จุดเก็บเกี่ยวจนถึงจุดที่เข้าสู่การค้าของสหรัฐฯเกี่ยวกับปลาและผลิตภัณฑ์ปลานำเข้า 13 รายการที่ได้รับการระบุว่ามีความเสี่ยงต่อการประมงและหรืออาหารทะเลที่ผิดกฎหมาย ผู้ที่นำเข้าหนึ่งใน 13 สินค้านี้จำเป็นที่จะต้องขอใบอนุญาต International Fisheries Trade Permit (IFTP) เพื่อนำเข้าสินค้าเหล่านี้

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.fisheries.noaa.gov/international/international-affairs/seafood-import-monitoring-program

https://www.fisheries.noaa.gov/permit/international-fisheries-trade-permit

 

ข้อเสนอแนะของสคต. นิวยอร์ก

      สินค้าปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯนั้นได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนี่อง และคาดว่าความต้องการของปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯนั้นจะยังคงเติบโตขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้ผลของปัญหาด้านสุขภาพนั้นยังทำให้ประชาชนชาวสหรัฐฯ นั้นเพิ่มปริมาณในการบริโภคอาหารทะเลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเป็นโอกาสของผู้ประกอบการและส่งออกไทยในการส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความใส่ใจด้านดำเนินกิจการด้วยความโปร่งใส่และสามารถตรวจสอบได้อาจเป็นความต้องการเพิ่มเติมของผู้ค้าในสหรัฐ เพื่อเพิ่มความมั้นใจให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นด้วย

 

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.ers.usda.gov/data-products/chart-gallery/gallery/chart-detail/?chartId=108936

https://www.fmi.org/newsroom/news-archive/view/2024/03/11/fmi-research–more-consumers-eating-seafood-at-home–but-seafood-unit-sales-return-to-pre-pandemic-level#:~:text=The%20Power%20of%20Seafood%202024%20survey%20reveals%20that%20home%2Dcooked,from%2047%25%20to%2041%25.

https://www.mordorintelligence.com/industry-reports/united-states-seafood-market

Euromonitor

https://www.spglobal.com/marketintelligence/en/mi/products/maritime-global-trade-atlas.html

อ่านข่าวฉบับเต็ม : สถานการณ์ตลาดปลาและอาหารทะเลในสหรัฐฯ

Login