เปิดม่านเวที Organic Day คึกคัก ‘สนค.’ จับมือ ‘มธ.’ และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด นำทีมพัฒนาระบบต้นแบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยด้วยนวัตกรรม Blockchain หรือ TRACETHAI.com สร้างความมั่นใจ คู่ค้าและเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้บริโภค สามารถเช็คใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เร่งขยายความร่วมมือเครือข่ายเกษตรกร ผู้ประกอบธุรกิจ และหน่วยงานเกี่ยวข้อง หนุนตลาดในประเทศ และปรับตัวให้พร้อมบุกตลาดต่างประเทศที่กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดกิจกรรม “Organic Day : โครงการประยุกต์ใช้ Blockchain ยกระดับเศรษฐกิจการค้า ระยะที่ 4” โดยมีเป้าหมายส่งเสริมองค์ความรู้และร่วมมือพัฒนาระบบต้นแบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี Blockchain หรือ TRACETHAI.com ติดตามตรวจสอบ สร้างความเชื่อมั่นและปลอดภัย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน กลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ เข้าร่วมกว่า 100 คน เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ณ อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย จึงเริ่มดำเนินโครงการประยุกต์ใช้ Blockchain ยกระดับเศรษฐกิจการค้า เมื่อประมาณปี 2563 โดยมีสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ และพัฒนาระบบต้นแบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี Blockchain หรือระบบ TRACETHAI.com สำหรับติดตามหรือตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่การผลิต รวบรวม บรรจุ และจัดจำหน่ายไปยังผู้บริโภค โดยนำร่องที่สินค้าข้าวอินทรีย์ซึ่งมีศักยภาพการส่งออกสูง
“ผู้ประกอบการให้ความสนใจและเข้าร่วมระบบ TRACETHAI.com เพราะมั่นใจว่าเป็นเครื่องมือควบคุมการผลิตและส่งมอบสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้อย่างมีคุณภาพ ส่งผ่านข้อมูลใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อย่างปลอดภัย สะดวก เป็นการยกระดับการค้าเกษตรอินทรีย์ตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกพืชจนถึงผู้บริโภค ตอบโจทย์การค้ายุคใหม่ในโลกดิจิทัล”
ปัจจุบัน สนค. พัฒนาระบบฯ อย่างต่อเนื่อง รองรับพืชอินทรีย์อื่นนอกเหนือจากข้าว อาทิ ผัก ผลไม้ เห็ด โกโก้ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากวัตถุดิบอินทรีย์ และรองรับมาตรฐานโดยหน่วยตรวจรับรองหรือ CB ตามมาตรฐานอินทรีย์สากล และมาตรฐาน Organic Thailand ตลอดจนสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ ชาเชียงราย ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้สระบุรี และหอมแดงศรีสะเกษ และปีนี้ สนค. ขยายไปสู่การรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม หรือ PGS ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์กลุ่มใหญ่ภายในประเทศด้วย
ในปี 2566 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขยายฐานกลุ่มเป้าหมายโครงการฯ ไปยังเครือข่ายพันธมิตรในภูมิภาค โดยร่วมมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานเกษตรจังหวัด และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิต แปรรูป จัดจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ ใน 3 จังหวัด และฝึกอบรมใช้งานระบบรวม 10 จังหวัด อาทิ เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี สกลนคร ฯลฯ
รศ.ดร.ดนุพันธ์ วิสุวรรณ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า โครงการพัฒนาระบบต้นแบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี Blockchain มีความสำคัญมากภายใต้บริบทโลกยุคใหม่และทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นแนวทางสำคัญที่ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ริเริ่มและให้โอกาสทาง สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินการพัฒนา TRACETHAI.com จนเกิดความสำเร็จเป็นรูปธรรมนำไปสู่การส่งเสริมศักยภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ สอดคล้องกับแนวทางสร้างเกษตรปลอดโรค ผู้บริโภคปลอดภัย รักและห่วงใยสิ่งแวดล้อม
ศ.ดร.อาณัติ ลีมัคเดช ผู้อำนวยการศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวปิดท้ายว่า การนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในระบบตรวจสอบย้อนกลับเกษตรอินทรีย์ ช่วยสร้างกลไกความน่าเชื่อถือ โปร่งใส ในการบันทึกข้อมูลสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน ลดปัญหาการปลอมแปลงเอกสารหรืออ้างมาตรฐานใบรับรองเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ถูกต้อง เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนผู้ซื้อที่จ่ายราคาสูงขึ้นให้ได้รับสินค้าปลอดภัยต่อสุขภาพอย่างแท้จริง
“TRACETHAI.com ออกแบบนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยี Blockchain ทำให้ผู้ซื้อตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกจุด ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสการค้าให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก โดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่กำหนดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มงวดขึ้น”