Shopify ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ของสหรัฐฯ ที่ผู้ประกอบการ ชาวอเมริกันขนาดเล็กและขนาดกลางนิยมใช้สร้างเว็บไซต์และขยายช่องทางขายออนไลน์ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งได้รับความนิยมมาแรงรองจาก Amazon และ Ebay โดยในปัจจุบัน มีผู้ประกอบการสหรัฐฯ ที่ใช้แพลตฟอร์ม Shopify มีสูงถึง 2,681,369 ราย ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Shopify ในแพลตฟอร์มออนไลน์สหรัฐฯ ทั้งหมดสูงถึง 22.5% ในปัจจุบัน และคาดว่าจะมีมูลค่าสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์ม Shopify สูงถึง 146,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2567 หรือคิดเป็นสัดส่วน 23.3% ของมูลค่าสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์สหรัฐฯ ทั้งหมด
แพลตฟอร์ม Shopify ได้รายงานว่า 5 สินค้ามาแรงที่ชาวอเมริกันค้นหามากที่สุดใน search engine ของสหรัฐฯ ในภาพรวม ซึ่งจัดอันดับโดย Shopify มีดังนี้
- ลิปสเตน (Lip Stain)
ลิปสเตนเป็นสินค้าที่นิยมมากในสหรัฐฯ ในปี 2566 ซึ่งลิปสเตนนั้นจะต่างจากลิปสติกตรงที่ติดทนนาน และให้ความบางเบาที่อยู่ได้ตลอดทั้งวัน จากข้อมูลโดย Google Trends ผู้บริโภคค้นหาว่า “lip stain” เฉลี่ยถึง 60,500 ครั้งต่อเดือนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในการเจาะตลาดลิปสเตนในสหรัฐฯ นั้น การโฆษณาโดย Influencer และการให้ความสำคัญในด้านของความหลากหลาย (Diversity) เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเป็นการผลิตสินค้าที่มีหลากหลายสีเหมาะสำหรับผู้บริโภคทุกสีผิว หรือการเลือกใช้ influencer ที่มีความแตกต่าง เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าในหลายกลุ่ม นอกจากนี้ ในปัจจุบัน การรีวิวการใช้จริงจากผู้บริโภค หรือ User-generated content ก็นับมีส่วนช่วยในการปิดการขายได้ถึง 80%
2. ชาเขียวมัจฉะ
มัจฉะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ทั้งชามัจฉะแบบดั้งเดิม และการนำรสชาติมัจฉะมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่มและขนมต่างๆ โดยจากข้อมูล Google Trends ผู้บริโภคค้นหาคำว่า “matcha” สูงถึง 1 ล้านครั้งต่อเดือน นับตั้งแต่ต้นปี 2566 ทั้งนี้ นอกจากในเรื่องรสชาติแล้ว ชาวอเมริกันให้ความสนใจกับมัจฉะเนื่องจากคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ของมัจฉะที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง ทั้งนี้ จากการสัมภาษณ์นาย Alexandra Foster ผู้จัดการแผนกอาหารแห้งของ Whole Foods Market ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ของสหรัฐฯ เมื่อต้นปี 2566 พบว่า ยอดขายของชามัจฉะใน Whole Food นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และผู้บริโภคส่วนมากก็พร้อมที่จะซื้อชามัจฉะคุณภาพที่ดี ในราคาที่สูง
3.ของเล่นสัตว์เลี้ยง
ของเล่นสัตว์เลี้ยงเป็นสินค้าที่นับว่ามีศักยภาพในการเจาะตลาดสหรัฐฯ สูง ทั้งนี้ จากการคาดการณ์โดย Fortune Business Insights มูลค่าตลาดของเล่นสัตว์เลี้ยงทั่วโลกในปี 2565 นั้น สูงถึง 8,010 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะโตขึ้นต่อเนื่องกว่า 6.7% ทั้งนี้ จากข้อมูลโดย Google Trends ผู้บริโภคค้นหาสินค้า “dog toys” เฉลี่ยถึง 210,000 ครั้งในปี 2566 โดยของเล่นสัตว์เลี้ยงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ ของเล่นสุนัข ซึ่งมีสัดส่วนตลาดสูงถึง 51% ชนิดของเล่นที่เป็นที่นิยม ได้แก่ ของเล่นฝึกทักษะ (Training toys) ของเล่นสำหรับเคี้ยว (Chew toys) ของเล่นแบบมีเสียง (Squeaky toys) ของเล่นตุ๊กตา (Stuffed plush toys) และของเล่นจากเชือก (Rope toys)
4. แก้วน้ำเก็บความเย็น (Tumbler)
แก้วน้ำเก็บความเย็น เป็นสินค้าที่นิยมมากในสหรัฐฯ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่รักการตั้งแคมป์ เดินป่า ฟิตเนส และท่องเที่ยว นอกจากนี้ ชาวอเมริกันยังหันมาใช้แก้วน้ำดังกล่าวมากขึ้น เพื่อลดการใช้แก้วแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จากการคาดการณ์โดย Lucintel บริษัทวิเคราะห์ด้านกาตลาดของสหรัฐฯ พบว่ามูลค่าตลาดของแก้วน้ำเก็บความเย็นจะโตขึ้นกว่า 9.1% ภายในปี 2570 คิดเป็นมูลค่าการตลาดกว่า 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ จากเทรนด์การค้นหาใน search engine ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันค้นหาคำว่า “Tumblers” เฉลี่ย 5 ล้านครั้งต่อเดือน “Glass Tumblers” 60,500 ครั้ง “Tumbler cups” 49,500 ครั้ง “Custom tumblers” 27,100 ครั้ง “Tumbler with straws” 22,200 ครั้ง และ Tumbler plastic 9,900 ครั้ง
5. ป้ายตัวอักษร (Signage)
ป้ายตัวอักษรเป็นอีกสินค้าที่ชาวอเมริกันตามหาในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ชาวอเมริกันค้นหาคำว่า “signage” สูงถึง 135,000 ครั้งต่อเดือนในปี 2566 โดยระบุเจาะจงชนิดของป้าย เช่น คำว่า “Signage board” 74,000 ครั้งต่อเดือน“No smoking signage” 74,000 ครั้งต่อเดือน “Safety signage” 60,500 ครั้งต่อเดือน “Digital signage” 49,500 ครั้งต่อเดือน “Wedding signage” 40,500 ครั้งต่อเดือน และ “Entrance signage” 12,100 ครั้งต่อเดือน
ความคิดเห็นของสคต.นิวยอร์ก
ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก เนื่องจากมีประชากรมากและกำลังซื้อสูง อีกทั้ง ยังเป็นตลาดที่มีความต้องการสินค้าที่หลากหลาย ผู้ประกอบการไทยที่สนใจในการเจาะตลาดสหรัฐฯ จึงศึกษาช่องทางในการเปิดตลาดใหม่ๆ เช่นแพลตฟอร์ม E-commerce ไม่ว่าจะเป็น Amazon Walmart หรือ Temu นอกจากนี้ หากผู้ประกอบการสนใจที่จะสร้างเว็บไซต์ในการค้าออนไลน์ เพื่อเจาะตลาดในสหรัฐฯ สามารถทดลองใช้บริการของ Shopify ซึ่งนับว่าเป็นตัวช่วยในการค้าและการสร้างแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบัน โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Instagram และ Tiktok นั้น ก็นับว่ามีประสิทธิภาพมากในการสร้างแบรนด์ในสหรัฐฯ และเปิดโอกาสให้สินค้าเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคในวงกว้างมาก ผู้ประกอบการไทยจึงควรศึกษาช่องทางเหล่านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้ามากยิ่งขึ้น
ที่มา:
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)