แนวโน้มความต้องการเครื่องมือช่าง (เครื่องมือกล) เพิ่มสูงขึ้นในตลาดอินเดีย

แหล่งที่มา: Construction Week India

อุตสาหกรรมเครื่องมือช่างในอินเดียมีมูลค่าถึง 636.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2565 และเติบโตเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่า 686 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2566 นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าในปี 2573 ตลาดจะเติบโตถึง 1,5633.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวของเครื่องมือช่างเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 จากปี 2561-2565 โดยคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 จากปี 2566 – 2576

นอกจากนี้ จากสถิติยังแสดงให้เห็นว่า ในปี 2566 อินเดียใต้เป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนการใช้เครื่องมือช่างมากที่สุด เมื่อเทียบอัตราส่วนการใช้ตามรายภูมิภาค ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 31.8 ของการสัดส่วนทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 497.8 ล้านเหรียญสหรัฐ รองมาคือ อินเดียตะวันตก คิดเป็นมูลค่า 474.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และอินเดียเหนือ คิดเป็นมูลค่า 356.0 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยในการจัดกลุ่มประเภทเครื่องมือช่าง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

จำแนกตามประเภทของเครื่องมือ ได้แก่ เครื่องมือเจาะ (Drilling products) เครื่องมือยึด (Fastening products) เครื่องเป่าลมร้อน (Heat gun) เครื่องเจียรไฟฟ้า (Angle grinder) เลื่อยไฟฟ้า (Chain saw) เครื่องขัด (Orbital sander) เลื่อยฉลุไฟฟ้า (Jigsaw) บล็อกกระแทก (Impact wrench) เลื่อยวงเดือน (Circular saw)
การจำแนกตามประเภทเทคโนโลยี ได้แก่ (1) เครื่องมือไฟฟ้า (Electric) แบ่งเป็น แบบมีสาย (Corded) แบบไร้สาย (Cordless) เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Li-ion Battery แบตเตอรี่แบบตะกั่วกรด Lead Acid Battery หรืออื่นๆ (แบตเตอรี่นิกเกิล-แคดเมียม และนิกเกิล-เมทัลไฮไดร์) และ (2) เครื่องมือแรงอัดอากาศ (Pneumatic)

สำหรับอุตสาหกรรมของอินเดียที่มีการใช้เครื่องมือช่างอย่างแพร่หลาย นับตั้งแต่เครื่องมือช่างพื้นฐานไปจนถึงเครื่องมือไฟฟ้าไร้สาย และเครื่องแรงอัดอากาศ ได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปไม้ บริการการบำรุงรักษาและซ่อมแซมยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ การขึ้นรูปและแปรรูปผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรม DIY เช่น การปรับปรุงบ้านใหม่ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในอินเดีย

โดยสัดส่วนการใช้เครื่องมือช่างจะอยู่ในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 31.4 ของส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งหมด เนื่องมาจากภาคการก่อสร้างของอินเดียกำลังเติบโต ซึ่งนอกเหนือจากอาคารอสังหาริมทรัพย์แล้ว รัฐบาลอินเดียยังเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อาทิ โครงการ National Infrastructure Pipeline โครงการ Smart Cities โครงการรถไฟใต้ดิน และอื่นๆ จึงส่งผลให้ความต้องการเครื่องมือไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดี สำหรับกลุ่มเครื่องมือช่างที่มีแนวโน้มเป็นที่ต้องการมากขึ้น อาทิ เครื่องมือช่างแบบไร้สาย พกพาง่าย น้ำหนักเบา ประเภทแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าประเภทที่ชอบทำกิจกรรม DIY รวมถึงกลุ่มบล็อกกระแทก ซึ่งคาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 ในช่วงปี 2566 – 2576

โดยปัจจุบัน ผู้เล่นหลักของอินเดียในอุตสาหกรรมเครื่องมือช่างที่ครองสัดส่วนทางการตลาดรวมร้อยละ 40-45 เช่น Kulkarni Power Tools Ltd., CUMI, Ralli wolf, Aegon, Electrex India Ltd., Metabo AG, Techtronic Industries Company Limited, JK Files & Engineering Limited, Endico Power Tools, ITW, Robert Bosch Power Tools GmbH, Stanley Black & Decker, Inc., Atlas Copco AB, Caterpillar Inc., Apex Tool Group, Koki Holdings Co., Ltd., DeWalt, Milwaukee Electric Tool Corporation, Hilti Corporation, Makita Corporation, Panasonic Corporation, Kyocera Corporation และ Ingersoll Rand, Inc

ความเห็นของ สคต. ณ เมืองเจนไน

ตลาดเครื่องมือช่างของอินเดียเดิมเป็นการนำเข้าสินค้าปริมาณมากจากเยอรมนี จีน สหรัฐอาหรับเอมริเรสต์ ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ สำหรับสินค้าวัตถุดิบ เช่น เหล็ก พลาสติก ยางพารา ทองแดง และอื่นๆ ที่ผลิตในอินเดียก็นำเข้าจากประเทศอื่นด้วยเช่นกัน รวมไปถึง ชิ้นส่วนอะไหล่ และเครื่องมือช่าง โดยจากข้อมูลสถิติ GTA ปี 2564 ถึงปัจจุบัน (ม.ค. – ส.ค. 66) พบว่าไทยเป็นแหล่งนำเข้าเครื่องมือช่างประเภทมือจับ แรงอัดอากาศ (HS Code 8467) อันดับ 4 ของอินเดีย รองจาก จีน (ครองสัดส่วนตลาดร้อยละ 70.6) เยอรมนี (ร้อยละ 5.7) และเบลเยี่ยม (ร้อยละ 5.1) ขณะที่ไทยครองสัดส่วนทางการตลาดเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น

อย่างไรก็ดี ตลาดเครื่องมือช่างของไทยก็มีแนวโน้มเติบโตดีด้วยอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องมือช่างด้าน DIY ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในไทย และสอดคล้องตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในอินเดียปัจจุบัน จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะพิจารณาขยายตลาดเครื่องมือช่างมายังอินเดีย โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรี ASEAN-India FTA ในการลดอัตราภาษีนำเข้า สร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางราคาในการเข้าตลาดอินเดียต่อไป

แหล่งที่มา: