นาย ฝ่าม มิงห์ จิญ (Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เวียดนามเตรียมลงนามข้อตกลงส่งออกข้าวกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ในการประชุมร่วมกับนาย Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และนาย Ferdinand Marcos Jr. ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียนที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดข้าวที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามได้เริ่มซื้ออีกครั้งหลังจากถูกระงับไปเกือบหนึ่งเดือน
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์ 2.4 ล้านตัน มูลค่าเกือบ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอินโดนีเซียได้นำเข้าข้าวจากเวียดนามจำนวน 871,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 เวียดนามมีรายได้จากการส่งออกข้าวประมาณ 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.4 ราคาข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 14 เพิ่มขึ้นที่ 553 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน บางครั้งขึ้นประมาณ 650 เหรียญสหรัฐฯ
นอกจากลงนามข้อตกลงการค้าข้าวแล้ว นาย ฝ่าม มิงห์ จิญ (Pham Minh Chinh) และนาย Ferdinand Marcos Jr. ยังเห็นด้วยว่า ทั้ง 2 ประเทศจำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยสำหรับการค้าทวิภาคีที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าเป็น 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ผู้นำทั้ง 2 ประเทศเห็นด้วยว่า จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันของเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือที่มีศักยภาพ เช่น เกษตรกรรม การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ น้ำมันและก๊าซ วิจัยและขยายความร่วมมือในด้านใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว นวัตกรรม เป็นต้น
นาย Ferdinand Marcos Jr. ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ยืนยันว่า จะสนับสนุนเวียดนามในการถอดใบเหลือง IUU ของคณะกรรมาธิการยุโรป
นาย ฝ่าม มิงห์ จิญ (Pham Minh Chinh) และนาย Joko Widodo สัญญาจะเพิ่มการค้าสินค้าเกษตร และส่งเสริมการให้สัตยาบันข้อตกลงระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ในการกำหนดเขตเศรษฐกิจ
แม้จะมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฟิลิปปินส์จะลดการนำเข้าข้าวในปี 2566 เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งเน้นของรัฐบาลในการพัฒนาการผลิตภายในประเทศ แต่การนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ยังคงเพิ่มขึ้น ตอบสนองความต้องการการบริโภคและการกักตุน และรับมือกับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนเมื่อปรากฏการณ์เอลนิโญกลับมาทำให้เกิดภัยแล้งและสภาวะแล้งที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการผลิตปริมาณอาหารในประเทศ
นอกจากความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นแล้ว เอลนิโญยังมีส่วนทำให้ราคาข้าวโลกสูงขึ้น เนื่องจากหลายประเทศเริ่มกักตุนอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเติบโตเชิงบวกทั้งในด้านปริมาณและมูลค่าการส่งออกข้าวเวียดนามไปยังฟิลิปปินส์
(จาก https://vietnamnews.vn/)
ข้อคิดเห็น สคต
ในปี 2565 เวียดนามเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดียและไทย ฟิลิปปินส์เป็นตลาดนำเข้าข้าวเวียดนามที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นเกือบร้อยละ 90 ของการนำเข้าทั้งหมด ในเดือนกันยายน 2566 เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 6.42 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19,5 มูลค่าการซื้อขาย 3,540 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าเฉลี่ย 551.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ในส่วนของตลาดส่งออกข้าว ฟิลิปปินส์ จีน และอินโดนีเซียเป็นผู้นำเข้าชั้นนำของเวียดนาม โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ยังคงเป็นตลาดส่งออกข้าวที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ข้อตกลงจัดทำขึ้นในบริบทที่ราคาข้าวสูงขึ้นในฟิลิปปินส์ เนื่องจากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อและราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะกล่าวว่าอุปทานข้าวในประเทศยังเพียงพอก็ตาม ยังมีโอกาสอย่างมากสำหรับการส่งออกข้าวของเวียดนาม โดยเฉพาะเมื่อฟิลิปปินส์นำเข้าเพิ่ม 1.1 ล้านตัน ในขณะที่อินโดนีเซียวางแผนที่จะนำเข้า 2.3 ล้านตันภายในสิ้นปี 2566 โดยรัฐบาลเวียดนามกำลังวางยุทธศาสตร์ระยะยาวในการส่งออกข้าวและการรักษาเสถียรภาพของตลาด หลังจากหลายประเทศสั่งห้ามการส่งออก โดยประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวง ภาคส่วน และท้องถิ่นอื่น ๆ เพื่อติดตามสถานการณ์ตลาดและปัญหาของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถเสนอแนวทางแก้ไขในการขจัดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกในการส่งออกข้าวไปจนถึงสิ้นปี 2566 นอกจากนี้จะมีการให้คำแนะนำและการสนับสนุนเพื่อช่วยผู้ค้าและผู้ส่งออกในการปรับปรุงการผลิตและศักยภาพทางธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการเจรจา ลงนาม และทำสัญญาส่งออกและจัดการกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนจะพยายามควบคุมอุปทานและราคา และป้องกันการขนส่งและการค้าข้าวที่ไม่ทราบแหล่งที่มาคาดว่าในปี 2566 เวียดนามจะมีกำไรในการส่งออกสินค้าข้าวมากกว่า 7.5 ล้านตัน มูลค่า 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)