Ikea (IKEA) ห้างค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้านจากสวีเดนได้เข้ามาเปิดให้บริการในเมืองใหญ่ในอินเดีย โดย
สาขาที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ที่เมืองบังกาลอร์ (Bengaluru) ในขณะเดียวกัน Ikeaได้เปิดสาขาขนาดเล็กในหลายเมือง เช่น เมือง Mumbai และ Hyderabad เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบริการรับสั่งสินค้าออนไลน์และจัดส่งให้สำหรับลูกค้าที่อยู่ในเมืองรอง อาทิ เมือง Pune และ Surat ด้วย ซึ่งIkeaจะทดลองตลาดก่อนที่จะเปิดสาขาในเมืองเหล่านี้ต่อไป ทั้งนี้ Ikeaพบว่าราคาเป็นปัจจัยสำคัญมากในการตัดสินใจซื้อของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในอินเดียซึ่งเป็นคนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ในการขยายกิจการในระยะต่อไป Ikeaจึงมองว่าจะต้องมีการผลิตสินค้าในอินเดียให้มากขึ้น
ปัจจุบัน Ikeaมีการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในอินเดียแล้วประมาณ 65 บริษัท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของ
สินค้าทั้งหมดที่วางจำหน่ายในIkea และคาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งจะมีการผลิตเพื่อส่งออกจากอินเดียไปยังสาขาของIkeaในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย ซึ่งในการคัดเลือกผู้ผลิตในอินเดีย Ikeaจะมุ่งเน้นจำหน่ายสินค้าที่มีความ แปลกใหม่หรือนวัตกรรมในประโยชน์ใช้สอย ตามด้วยมาตรฐานด้านต่างๆ และราคา Ikeaจึงให้ความสนใจที่จะเข้าไปร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน ยกตัวอย่างเช่น Livspace ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพในสาขาการตกแต่งภายในของอินเดีย ที่Ikeaได้เข้าไปซื้อหุ้นในสตาร์ทอัพนี้แล้ว และในอนาคตอันใกล้ Ikeaจะขยายการร่วมลงทุนเข้าไปในสินค้าอื่นๆ ด้วย อาทิ วัสดุรีไซเคิล และ พลังงานหมุนเวียน โดยมีหน่วยด้านการลงทุนชื่อว่า Ingka Investments ทั้งนี้ ในการคัดเลือกผู้ผลิตเข้ามาในเครือข่ายของIkea จะให้ความสำคัญกับการจัดซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในท้องถิ่นและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย (local sourcing and sustainability)
ที่มา: www.businessoutreach.in มิถุนายน 2566
ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น
1. ผู้ผลิตของไทยสามารถที่จะส่งสินค้ามาจำหน่ายในอินเดียได้ โดยนำเสนอสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของIkea (Ikea Supplier Portal ) เพื่อรับการคัดเลือกจากทีมงานของ Ikea ทั้งนี้ สินค้าที่จะผ่านการพิจารณาจะต้องสามารถผลิตได้จำนวนมาก มีความแปลกใหม่ในประโยชน์ใช้สอยที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค มีราคาที่แข่งขันได้ ได้มาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Ikea ในอินเดียจะนำสินค้าที่ผ่านการคัดเลือกไปจำหน่ายในห้างIkeaในหลายประเทศพร้อมกัน
จากการสำรวจสินค้าในห้างIkeaในเมืองบังกาลอร์ซึ่งเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย พบว่ามีสินค้าสำเร็จรูป (finished goods) หลายรายการที่ผู้ผลิตไทยส่งออกมาขายในอินเดีย อาทิ ภาชนะเซรามิค ของใช้บนโต๊ะอาหาร และของใช้ในครัว เคหะสิ่งทอ โคมไฟ และผลิตภัณฑ์จากผ้า รวมถึงตุ๊กตาและของเล่น นอกจากนี้ สินค้าที่ผู้ผลิตไทยมีศักยภาพและมีแนวโน้มจะแข่งขันได้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ไม้ยางพารา และ ดอกไม้ประดิษฐ์ รวมถึงสินค้าขั้นกลาง อาทิ วัสดุชีวภาพที่ได้จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งน่าจะนำไปต่อยอดการผลิตในอินเดียได้
2. นอกจาก IKEA แล้ว ร้านค้าปลีกของต่างชาติอื่นๆ กำลังเข้าไปแสวงหาโอกาสในอินเดีย เพื่อรองรับการเติบโตของชนชั้นกลางในอินเดียที่สนใจสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้นแต่มีราคาย่อมเยา เข่น ร้าน Mumuso, Miniso และ Uniqlo เป็นต้น ผู้ผลิตของไทยจึงควรพิจารณาเข้ามาเปิดหน้าร้านเช่นกัน อาทิ สินค้าประเภทเครื่องเขียน เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ เครื่องประทินผิว กระเป๋า ของขวัญ/ของชำร่วยต่างๆ รวมถึงสินค้าเฉพาะกลุ่ม อาทิ แม่และเด็ก ผู้สูงอายุ สัตว์เลี้ยง หรือ กลุ่มที่ชอบสินค้าไฮเทค อาทิ ของใช้ในบ้านแบบ Internet of Things / Smart Home ซึ่งรัฐบาลอินเดียอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนเปิดร้านขายปลีกสินค้าที่มีแบรนด์เดียว (Single-Brand Retail) โดยถือหุ้นได้สูงสุดได้ถึง 100%
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอาจเริ่มต้นจากการจดทะเบียนธุรกิจแล้วนำสินค้ามาขายทางออนไลน์ก่อน จนกว่าจะเริ่มมั่นใจว่ามีตลาดตอบรับแล้วจึงจะเช่าพื้นที่และสร้าง ร้านต้นแบบ (flagship store) ก่อนที่จะขยายสาขาด้วยรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์ต่อไป ซึ่งการมีหน้าร้านอยู่ในอินเดียจะช่วยในการสร้างแบรนด์และเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคได้โดยตรง ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งคือการเข้ามาร่วมลงทุนหรือถือหุ้นในธุรกิจของชาวอินเดียที่มีศักยภาพ/ startups ดังเช่นIkeaที่เข้าไปถือหุ้นในบริษัท Livspace Design Center ซึ่งเป็น startup จากเมืองบังกาลอร์และใช้สตาร์ทอัพอินเดียนี้เป็นกลไกในการเจาะตลาดแทนการบุกเบิกด้วยตนเองทั้งหมด
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)