หน้าแรกTrade insightข้าว > อิตาลีเห็นแย้งต่อคำร้องขอของอินเดียเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีนำเข้าข้าวสู่ตลาดสหภาพยุโรป

อิตาลีเห็นแย้งต่อคำร้องขอของอินเดียเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีนำเข้าข้าวสู่ตลาดสหภาพยุโรป

อิตาลีเห็นแย้งต่อคำร้องขอของอินเดียเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีนำเข้าข้าวสู่ตลาดสหภาพยุโรป
ประธานองค์กรข้าวแห่งชาติอิตาลี (Ente Nazionale Risi) นาย Paolo Carrà ได้ออกมาแถลงถึงความเสี่ยงต่อตลาดการค้าข้าวอิตาลี ซึ่งเป็นผู้ปลูกข้าวรายใหญ่ที่สุดของยุโรป (มากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตข้าวทั้งหมดของสหภาพยุโรป) ถึงการรื้อฟื้นการเจรจาระหว่างคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปและอินเดีย ในช่วงฤดูร้อนของปี 2565 ที่ผ่านมา ที่อินเดียต้องการกำหนดคำจำกัดความของข้อตกลงการค้าเสรีหลังจากหยุดชะงักมานานถึง 10 ปี แม้ว่าในการเจรจาที่ผ่านมายังไม่มีข้อตกลงที่แน่นอน แต่ก็อดสร้างความวิตกกังวลให้ชาวนาอิตาลีไม่ได้

อินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก และในการเจรจาก่อนหน้านี้ได้ขอให้กำหนดภาษีการนำเข้าข้าวโควต้าในอัตราที่เป็นศูนย์ (ดูตาราง) ซึ่งหากสหภาพยุโรปยินยอมตามคำร้องของอินเดีย ก็จะลดพื้นที่การค้าข้าว Long B ของสหภาพยุโรปและของอิตาลีลดลงอีก ซึ่งที่ผ่านมาสหภาพยุโรปก็ได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีอย่างต่อเนื่องกับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่นอกสหภาพยุโรปอยู่แล้ว (โดยเฉพาะกับกลุ่มประทศกำลังพัฒนา) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวอิตาลี อิตาลีจึงไม่เห็นด้วยที่จะให้ข้าวอินเดียได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีอีก โดยให้ความเห็นว่า ข้อเรียกร้องของอินเดียควรต้องถูกปฏิเสธเพราะอินเดียได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรข้าวบาสมาติ 8 สายพันธุ์แล้ว นอกจากนี้ ในปี 2566 บนพอร์ทัล RASFF (Rapid Alert System for Food and Feed) ซึ่งเป็นกฎระเบียบทั่วไปเกี่ยวกับอาหารของสหภาพยุโรป และเป็นระบบแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยของอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ (https://food.ec.europa.eu/safety/rasff_en) ได้พบการแจ้งเตือนความผิดปกติของข้าวนำเข้าจากอินเดียมากถึง 42 รายการ (28% ของการแจ้งเตือนทั้งหมดเกี่ยวกับสินค้าข้าว) เนื่องจากพบว่ามีปริมาณสารป้องกันกำจัดโรคพืชและป้องกันเชื้อราตกค้าง ได้แก่ ไทอาเมทอกแซม (thiamethoxam) ไตรซิกลาโซล (triciclazole) คาร์เบนดาซิม (cabendazim) และคลอร์ไพริฟอส (clorpirifos) ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในสหภาพยุโรป การขอโควต้ายกเว้นภาษีข้าว Long A จึงไม่สมควรยินยอมและยอมรับไม่ได้สำหรับอิตาลี
การเจรจาระหว่างสหภาพยุโรป – ประเทศอินเดีย

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และพฤษภาคม 2566 ในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการถาวรด้านพืช สัตว์ อาหารมนุษย์ และอาหารสัตว์ SCOPAFF (The Standing Committee on Plants, Animals, Food and Feed) ได้ประชุมในหัวข้อเรื่องไฟโตเภสัชภัณฑ์ สารกำจัดศัตรูพืชตกค้าง (Phytopharmaceuticals PESTICIDE RESIDUES) และประกาศไม่ผ่านการเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปในเรื่องการยกระดับสารตกค้างสูงสุดของสารไตรไซโคลโซล (tricyclazole) จากค่าปัจจุบันที่ 0.01 มก./กก เพิ่มขึ้นเป็น 0.09 มก./กก. สำหรับข้าวนำเข้าเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ หากคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปต้องการต่อสู้เพื่อยืนยันตามข้อเสนอ ต้องยื่นอุทธรณ์และต้องได้รับการพิจารณาลงคะแนนเสียงเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิส่วนใหญ่ หากข้อเสนอดังกล่าวผ่าน ก็จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานข้าวของอิตาลีอย่างแท้จริง เนื่องจากสหภาพยุโรปเองได้เคยเคยออกกฎระเบียบห้ามการใช้ยาไตรไซโคลโซลในการปลูกข้าวของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และมีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ข้าวนำเข้าโดยเฉพาะจากอินเดียจะได้รับสิทธิพิเศษที่ขีดจำกัดสารดังกล่าวถึง 0.09 มก./กก. ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ควรได้รับการอนุญาต นับตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่มีการออกประกาศห้ามใช้สารไตรไซโคลโซลสำหรับข้าวที่นำเข้าสู่สหภาพยุโรป ทำให้ข้าวบาสมาติจากอินเดียลดปริมาณลงเรื่อยๆโดยปริยาย เนื่องจากผู้ประกอบการชาวอินเดียพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะรับประกันข้าวปราศจากไตรไซโคลโซลได้ เพราะมีการใช้สารฆ่าเชื้อราชนิดนี้สูงและอย่างกว้างขวางในอินเดีย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีการนำเข้าข้าวบาสมาติจากปากีสถานเพิ่มขึ้นแทนที่ข้าวอินเดีย ซึ่งมีการใช้สารไตรไซโคลโซลที่น้อยกว่า

อีกแง่มุมหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการร้องขอของอินเดียที่ยื่นต่อคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปในเดือนกันยายน 2563 เพื่อขอให้รับรองสถานะในเชิงกฎหมายแก่ข้าว“PGI Basmati” (Protected Geographical Indications การคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ซึ่งข้าวบาสมาติเป็นข้าวที่ปลูกเฉพาะในอินเดียและปากีสถานเท่านั้น โดยขอให้นำมาพิจารณาใหม่ให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งอิตาลีเห็นว่าไม่สามารถยอมรับได้ แต่ในความเป็นจริงก็คือการเจรจายังคงดำเนินการอยู่ และหากอินเดียประสบความสำเร็จ ก็ถือเป็นความเสี่ยงสูงสุดในปัจจุบันสำหรับตลาดข้าวอิตาลี จะทำให้มีการนำเข้าข้าวบาสมาติ (PGI Basmati) สู่ตลาดสหภาพยุโรปอย่างไม่จำกัดด้วยภาษีเป็นศูนย์

ดังนั้น ตามคำร้องขอให้ยอมรับอย่างเป็นทางการ “PGI Basmati” ของอินเดีย เบื้องหลังมีเจตนากีดกันทางการค้าด้วยการใช้เป็นช่องทางเบียดข้าวบาสมาติของปากีสถานออกจากตลาดสหภาพยุโรป และใช้ความเป็นไปได้ในการเพิ่มขีดจำกัดปริมาณสารตกค้างสูงสุดของไตรไซโคลโซลสำหรับนำเข้าข้าวที่มีสารตกค้าง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อข้าวอินเดียทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นข้าวบาสมาติหรือข้าวทั่วไป
ในขณะที่ผู้ปลูกข้าวของอิตาลีต้องเคารพข้อห้ามและกฎเกณฑ์ต่างๆอย่างเคร่งครัดในการใช้สารป้องกันและกำจัดโรคพืช อิตาลีเห็นว่าสหภาพยุโรปมีวิสัยทัศน์ที่ไม่สอดคล้องกับการปกป้องผลิตภัณฑ์ข้าวของสหภาพยุโรปที่มุ่งมั่นในการรักษาห่วงโซ่อุปทานข้าวของยุโรปที่มีการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใสโดยตลอด การใช้คำ “PGI Basmati” ที่ไม่มีความผูกพันกับดินแดนและไม่น่าเชื่อถือ และข้าวบาสมาติที่มีต้นกำเนิดจากปากีสถานก็คงไม่ต่างกัน ดังนั้น องค์กรข้าวแห่งชาติอิตาลีได้แต่หวังว่าสหภาพยุโรปจะไม่เปิดเสรีการแลกเปลี่ยนทางการค้าข้าว และยกเว้นภาษีอากรเพิ่มอีก ซึ่งจะทำให้ข้าวจากอินเดียทะลักสู่ตลาดสหภาพยุโรปแน่นอน เพราะราคาจะถูกลง

ประมาณการปี 2566 จากข้อมูลจนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 การปลูกข้าวอิตาลีมีพื้นที่ลดลง 7,500 เฮกตาร์ พื้นที่นาข้าวในปี 2566 ประมาณการไว้ที่ 210,900 เฮกตาร์ (-3.4% หรือคิดเป็น 79% ของพื้นที่ปี 2565) พื้นที่ปลูกข้าวเม็ดกลมคิดเป็น 11,860 เฮกตาร์ (-18%) ข้าว Long B คิดเป็น 5,294 เฮกตาร์ (-10%) ข้าว Long A คิดเป็น 8,693 เฮกตาร์ (+10%) และสำหรับข้าวเม็ดกลาง คิดเป็น 940 เฮกตาร์ (+12%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 อย่างไรก็ตาม องค์กรข้าวแห่งชาติอิตาลีคาดว่าจนถึงสิ้นปี 2566 อิตาลีจะปลูกข้าวได้เพิ่มขึ้น 18.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่เกิดวิกฤตภัยแล้ง เนื่องจากปีนี้ฝนตกชุก
ความคิดเห็นของ สคต.มิลาน
1. อิตาลีเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของยุโรป และหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการที่อินเดียจำกัดการส่งออกข้าว และราคาข้าวที่เพิ่มสูงขึ้น หากสหภาพยุโรปไม่ยกเว้นภาษีเป็นศูนย์สำหรับข้าวอินเดียอีกตามคำร้องขอ แม้ว่าข้าวอิตาลีจะแตกต่างจากข้าวอินเดีย แต่อิตาลีเองก็สามารถปลูกข้าวเม็ดยาวทดแทดข้าวเอเชียได้บางส่วน และส่งออกได้ด้วย การแข่งขันจึงขึ้นอยู่กับราคาเป็นสำคัญ
2. การจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ทำให้การส่งออกข้าวไทยมาอิตาลีขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวแอฟริกาและชาวเอเชียอาศัยอยู่ในอิตาลีประมาณ 720,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่บริโภคข้าว โดยเฉพาะข้าวขาว ที่ในช่วง มกราคม-กรกฎาคม 2566 มีปริมาณการส่งออกถึง 8,284 ตัน ขยายตัวถึง 546.18% (จากที่ส่งออกเพียง 1,282 ตัน ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว) ในขณะที่การส่งออกข้าวหอมมะลิ มีปริมาณ 4,643 ตัน หดตัว -30.72% (จากที่ส่งออก 6,702 ตัน ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว)
3. สคต.มิลาน จะประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคชาวอิตาเลียนได้รู้จักข้าวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ผ่านการดำเนินโครงการ Think Rice Think Thailand ปีที่ 4 ในช่วงเดือนกันยายน 2566 โดยจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจได้แก่ การสอนทำอาหารไทยเมนูจากข้าว การจัดกิจกรรม In-store Promotion ร่วมกับร้านค้าเอเชียซูเปอร์มาร์เก็ต และจะได้มีการเชิญอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียงของอิตาลีเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆด้วย
4. ระหว่างวันที่ 13 กันยายน ถึง 8 ตุลาคม 2566 จะมีการจัดงานแสดงสินค้าข้าว 55^ Fiera del Riso di Isola della Scala ที่เมืองเวโรน่า ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าข้าวที่สำคัญที่สุด ซึ่ง สคต.มิลาน จะได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยต่อไป
——————————————————————————————–
ที่มา :

www.enterisi.it

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมิลาน

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)

Login