สถานการณ์ตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับออสเตรเลียได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย (จากอัตราเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง) ซึ่งส่งผลให้ชาวออสเตรเลียใช้จ่ายสินค้าอย่างระมัดระวังและลดการใช้จ่ายสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็น (Non-essential goods and services) ลงอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
ร้านขายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในออสเตรเลียส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่นและเป็นบริเวณที่มี Foot traffic อยู่ตลอด เพื่อรักษายอดขาย ทำให้ร้านขายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่รัฐ New South Wales รัฐ Victoria และรัฐ Queensland ตามลำดับ (ซึ่งทั้ง 3 รัฐนี้มีประชากรรวมกันมากกว่า 3 ใน 4 ของประชากรออสเตรเลียทั้งหมด)
นักท่องเที่ยวต่างชาติ/ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและรายได้ของภาคครัวเรือนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในออสเตรเลีย โดยนครซิดนีย์ถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างมากในด้านธุรกิจสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเนื่องจากเป็นเมืองที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวที่มีฐานะดีและมีศักยภาพในการซื้อสินค้า จึงทำให้ร้านค้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในนครซิดนีย์มีแนวโน้มการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับมีผู้เล่นส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 60) เป็นผู้เล่นรายย่อย (ประเภท Sole proprietor และ ร้านขายสินค้าประเภท Boutique แบบ family – owned business) ซึ่งไม่ได้มีสาขามากมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจโดยเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กและ Local market เป็นหลัก เช่น Ethical jewellery และ Gender neutral options เป็นต้น ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่ มีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 40
ตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับประเภท Fine Jewellery
เนื่องจากสินค้าประเภท Fine Jewellery มีราคาค่อนข้างสูงและมีความหลากหลายอย่างเป็นพลวัตรตลอดเวลา ผู้ประกอบการสินค้า Fine Jewellery จึงให้ความสำคัญต่อการติดตามกระแสนิยมต่างๆ ในตลาด เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจและการออกแบบสินค้าให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาสำหรับตอบสนองต่อความต้องการผู้บริโภค อาทิ ผลการสำรวจของ Jewellery World Magazine พบว่า คู่แต่งงานชาวออสเตรเลียปัจจุบันให้ความสำคัญกับมูลค่าของแหวนหมั้น/แต่งงาน รวมถึงเครื่องประดับสำหรับใช้ในงานแต่งงาน (อาทิ wedding band) ที่มีราคาแพงน้อยลง ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป (การเข้าร่วมงานทางสังคม เช่น งานแต่งงาน และงานเลี้ยงฉลองต่างๆ ลดลง และหลีกเลี่ยงงานที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก) รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวกลับสู่สภาวะปกติและเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง ความต้องการลดผลกระทบจากการทำเหมืองเพชรต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้แรงงานที่ขาดจริยธรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ ทำให้ปี 2566 สินค้าเงินและทองมีราคาลดลง ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคและรายได้ครัวเรือนที่ลดลงทำให้การขยายตัวของตลาดลดลงร้อยละ 0.3 อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2571 คาดว่า ตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับประเภท Fine Jewellery จะขยายตัวร้อยละ 1.8
สำหรับตลาดสินค้าประเภท Fashion Jewellery : สินค้าประเภทต่างหู (เช่น ต่างหูทองสไตล์มินิมอล และไข่มุก) ยังคงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสินค้าประเภท Fashion Jewellery เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพงมากและผู้ใช้ (มีอายุระหว่าง 15-54 ปี) สามารถเลือกสวมใส่ได้ตามแฟชั่นและรสนิยมของตนเองได้อย่างคล่องตัว ซึ่งส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่ร้านค้า คาดว่า ปี 2566 ตลาด Fashion Jewellery จะขยายตัวร้อยละ 2.2 และร้อยละ 3 ภายในปี 2571
ตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับออสเตรเลีย (ทั้ง Fine Jewellery และ Fashion Jewellery) เป็นตลาดสินค้าที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆ ที่จะกระทบต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า โดยหากจะคงความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต นักออกแบบ หรือผู้ขายจะต้องพิจารณาปัจจัยด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (consumer sentiment) และปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ/สังคม เป็นตัวแปรสำคัญของความสำเร็จและสร้างรายได้ในธุรกิจสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในออสเตรเลีย
…………………………………………………………………………..
ที่มา :
นิตยสาร Jewelleryworld
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)