- อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP Growth)
สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (U.S. Bureau of Economic Analysis) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (U.S. Department of Commerce) รายงานอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ประมาณการครั้งที่ 3 (Third Estimate) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.0 จากเดิมร้อยละ 1.3 ในการประมาณการครั้งที่ 2 (Second Estimate) เมื่อเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากข้อมูลการส่งออกและการใช้จ่ายภาคประชาชนในช่วงดังกล่าวดีกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 เป็นผลมาจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคประชาชน การส่งออก การใช้จ่ายรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น และการลงทุนระยะยาวไม่ใช่สำหรับที่อยู่อาศัย ในขณะที่การลงทุนคงคลังภาคเอกชน การลงทุนระยะยาวสำหรับที่อยู่อาศัย และการนำเข้ากลับชะลอตัวลง
สถิติอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2562 – 2566
ที่มา: Bureau of Economic Analysis, U.S. Department of Commerce
- อัตราการว่างงาน
สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ประจำเดือนพฤษภาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เป็นร้อยละ 3.7 โดยมีจำนวนผู้ว่างงานในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาประมาณ 4.4 แสนคนเป็นจำนวนผู้ว่างงานในระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้นประมาณ 6.1 ล้านคน
ในเดือนพฤษภาคม 2566 สหรัฐฯ มีการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll Employment)เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 339,000 ตำแหน่ง (เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา 86,000 ตำแหน่ง) ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 12 เดือนที่ประมาณ 341,000 ตำแหน่ง
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมบริการทางธุรกิจ 64,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมภาครัฐ 56,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ 52,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว 48,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมก่อสร้าง 25,000 ตำแหน่ง อุตสาหกรรมการขนส่งและคงคลังสินค้า 24,000 ตำแหน่ง และอุตสาหกรรมสังคมสงเคราะห์ 22,000 ตำแหน่ง
- ส่วนอุตสาหกรรมเหมืองแร่และขุดเจาะพลังงาน อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมค้าส่ง อุตสาหกรรมการค้าปลีก อุตสาหกรรมสารสนเทศ อุตสาหกรรมการเงิน และอุตสาหกรรมบริการอื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
สถิติอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน
ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor
- ภาวะเงินเฟ้อ (Consumer Price Index: CPI)
สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Department of Labor) รายงานภาวะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนพฤษภาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมาเหลือร้อยละ 4.0 ไม่ปรับฤดูกาล (Unadjusted) ซึ่งเป็นสถิติภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน
โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาราคาสินค้าไม่ปรับฤดูกาล (Unadjusted) กลุ่มอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเฉลี่ยร้อยละ 6.7 ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการอื่นปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.3 ในขณะที่กลุ่มสินค้าพลังงานกลับปรับตัวลดลงเฉลี่ยร้อยละ 11.7 รายละเอียด ดังนี้
3.1 กลุ่มสินค้าอาหาร ได้แก่ ซีเรียลและเบเกอรี (+ร้อยละ 10.7) เครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 8.7) ผลิตภัณฑ์จากนม (+ร้อยละ 4.6) ผักและผลไม้สด (+ร้อยละ 2.7) และ เนื้อสัตว์และไข่ (+ร้อยละ 0.3)
3.2 กลุ่มสินค้าพลังงาน ได้แก่ ไฟฟ้า (+ร้อยละ 5.9) ก๊าซธรรมชาติ (-ร้อยละ 11.0) และน้ำมันเชื้อเพลิง (-ร้อยละ 19.70)
3.3 กลุ่มสินค้าและบริการอื่น ได้แก่ บริการขนส่ง (+ร้อยละ 10.20) ที่พักอาศัย (+ร้อยละ 8.0) บุหรี่และยาสูบ (+ร้อยละ 6.3) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (+ร้อยละ 4.8) รถยนต์ใหม่ (+ร้อยละ 4.7) วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (+ร้อยละ 4.4) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม (+ร้อยละ 3.5) ส่วนรถยนต์มือสอง (Used Cars) (-ร้อยละ 4.2) และบัตรโดยสารเครื่องบิน (-ร้อยละ 13.40)
สถิติอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ย้อนหลัง 12 เดือน
ที่มา: Bureau of Labor Statistics, U.S. Department of Labor
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI)
The Conference Board (CB) รายงานผู้บริโภคชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2566 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 102.5 ในเดือนพฤษภาคม 2566 (ปีฐาน: ปี 2528 = 100) เป็น 109.7 ในเดือนมิถุนายน 2566 เช่นเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบัน (Present Situation Index) ปรับตัวดีขึ้นจากเดิม 148.9 ในเดือนพฤษภาคม 2566 เป็น 155.3 ในเดือนมิถุนายน 2566 รวมถึงดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภค (Expectations Index) ซึ่งวัดจากมุมมองของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ทางด้านรายได้ การดำเนินกิจการ และการจ้างงานในตลาดแรงงานในระยะสั้นปรับตัวดีขึ้นจาก 71.5 ในเดือนพฤษภาคม 2566 เป็น 79.3 ในเดือนมิถุนายน 2566 อย่างไรก็ตาม ดัชนีความคาดหวังผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 80.0 ซึ่งเป็นระดับที่แสดงสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ภายในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า
ผู้บริโภคชาวอเมริกันมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน 2566 ดีขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยแวดล้อมในตลาดเริ่มปรับตัวไปในแนวทางที่ดีขึ้น โดยความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นได้รับอิทธิพลจากกลุ่มผู้บริโภคอายุต่ำกว่า 35 รายได้มากกว่า 35,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคในตลาดยังคงเชื่อว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 6 – 12 เดือนข้างหน้า โดยรวมความต้องการซื้อรถยนต์และบ้านพักยังคงชะลอตัวลงเนื่องจากปัจจัยด้านระดับอัตราดอกเบี้ยในตลาดหลังจากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้จ่ายแบบแก้แค้น (Revenge Spending) สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวของผู้บริโภคในช่วงหลังการแพร่ระบาดในช่วงก่อนหน้านี้ยังส่งผลทำให้ผู้บริโภคแนวโน้มที่จะชะลอการเดินทางและใช้จ่ายสำหรับการบริการท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนข้างหน้าไปจนกระทั่งสิ้นปีนี้ด้วย
ที่มา: The Conference Board
- ภาวะการค้าปลีกของสหรัฐฯ
สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ รายงานภาวะการค้าปลีกและ การบริการด้านอาหารรายเดือนล่วงหน้า (Advance Monthly Sales for Retail and Food Services) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนพฤษภาคม 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สามารถสรุปได้ ดังนี้
- มูลค่าการค้าปลีกสินค้าและการบริการด้านอาหาร (Retail & Food Services) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 0.3 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 686,573 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- มูลค่าการค้าปลีก (Retail Trade Sales) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 598,576 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- มูลค่าการค้าปลีกไม่ผ่านร้านค้า (Nonstore Retailers) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 112,241 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง (+ร้อยละ 2.2) รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ (+ร้อยละ 1.4) เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน (+ร้อยละ 0.4) สินค้าปลีกทั่วไป (+ร้อยละ 0.4) การบริการร้านอาหาร (+ร้อยละ 0.4) อาหารและเครื่องดื่ม (+ร้อยละ 0.3) อุปกรณ์กีฬา (+ร้อยละ 0.3) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ (+ร้อยละ 0.2) ตามลำดับ
กลุ่มสินค้าและบริการที่มียอดค้าปลีกหดตัวลง ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง (-ร้อยละ 2.6) และการค้าปลีกผ่านช่องทางร้านค้าอื่นๆ (-ร้อยละ 1.0) ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคล และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มไม่เปลี่ยนแปลง
ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce
- ภาวะการค้าระหว่างประเทศ
สำนักงานสถิติสหรัฐฯ (U.S. Census Bureau) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ รายงานสถิติดุลการค้า (ส่งออก – นำเข้า) สหรัฐฯ ประจำเดือนเมษายน 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สรุปได้ ดังนี้
สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า ในเดือนเมษายน 2566 สุทธิทั้งสิ้น 74,552 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 13,958 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.04 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
สหรัฐฯ มีมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการในเดือนเมษายน 2566 เป็นมูลค่า 249,015 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 9,174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 3.55 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น
- การส่งออกสินค้าเป็นมูลค่า 167,101 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 9,357 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
- การส่งออกบริการเป็นมูลค่า 81,914 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 183 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
โดยกลุ่มบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ การบริการท่องเที่ยว และการบริการทางธุรกิจ
สหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการในเดือนเมษายน 2566 เป็นมูลค่า 323,567 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,784 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.50 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น
- การนำเข้าสินค้าเป็นมูลค่า 263,215 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 5,174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 01 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
- การนำเข้าบริการเป็นมูลค่า 60,352 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงร้อยละ 0.64 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่สหรัฐฯ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โลหะขึ้นรูป ทองคำ สารเคมีอินทรีย์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ
ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce
- ภาวะการค้าระหว่าง สหรัฐฯ – ไทย
ในเดือนเมษายน 2566 (ข้อมูลล่าสุด) สหรัฐฯ และไทยมีมูลค่าการค้าสุทธิทั้งสิ้น 5,930.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลงร้อยละ 8.33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯ มีดุลการค้าขาดดุลไทยเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3,494.7466 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
- สหรัฐฯ นำเข้าจากไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,712.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 15) ลดลงร้อยละ 07 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักนำเข้าจากไทย ได้แก่ เครื่องประมวลผลข้อมูล (HS Code 8471) เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.21 อุปกรณ์โทรศัพท์ (HS Code 8517) เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.46 ชิ้นส่วนตัวนำไฟฟ้า (HS Code 8541) เพิ่มขึ้นร้อยละ 111.65 ยางรถยนต์ (HS Code 4011) ลดลงร้อยละ 20.61 และเครื่องปรับอากาศ (HS Code 8415) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87
ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากไทย 10 อันดับแรกเดือนเมษายน 2566
- สหรัฐฯ ส่งออกไปไทย เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,217.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 26) ลดลงร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยสินค้าหลักส่งออกไปไทย ได้แก่ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) ลดลงร้อยละ 5.05 น้ำมันปิโตรเลียม (HS Code 2709) ลดลงร้อยละ 49.68 ชิ้นส่วนเครื่องพิมพ์ (HS Code 8473) เพิ่มขึ้นร้อยละ 150.37 ก๊าซปิโตรเลียม (HS Code 2711) และชิ้นส่วนแทรกเตอร์ (HS Code 8708) เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.53
ตารางแสดง: เปรียบเทียบมูลค่าสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปไทย 10 อันดับแรกเดือนเมษายน 2566
ที่มา: Global Trade Atlas
มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก)
ในเดือนเมษายน 2566 สหรัฐฯ และไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเฉพาะในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,333.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐหดตัวลงเล็กน้อยร้อยละ 2.06 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยไทยมีมูลค่าการส่งออกไปยังรัฐในเขตพื้นที่ดูแลทั้งสิ้น 946.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 14.16 และไทยมีมูลค่าการนำเข้าจากรัฐในเขตพื้นที่ดูเลทั้งสิ้น 387.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 49.31 โดยรวมไทยมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเกินดุลรัฐในเขตพื้นที่ดูแลเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 558.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- รัฐที่เป็นฐานส่งออกสินค้าของไทย ได้แก่ รัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 67) รัฐเคนทักกี (ร้อยละ 13.98) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 13.13) รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 10.63) และรัฐอินดีแอนา (ร้อยละ 6.84) ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ โทรศัพท์ (HS Code 8517) ร้อยละ 18.72 ชิ้นส่วนรถยนต์ (HS Code 8708) ร้อยละ 6.31โทรทัศน์ (HS Code 8525) ร้อยละ 6.12 คอมพิวเตอร์ (HS Code 8471) ร้อยละ 4.60 ชิ้นส่วนตัวนำไฟฟ้า (HS Code 8541) ร้อยละ 4.41 ยางรถยนต์ (HS Code 4011) ร้อยละ 3.94 ชิ้นส่วนส่งสัญญาณวิทยุ (HS Code 8504) ร้อยละ 3.94 แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (HS Code 8542) ร้อยละ 2.48 ชิ้นส่วนตัวรับสัญญาณวิทยุ (HS Code 8527) ร้อยละ 2.29 และวัสดุทันตกรรม (HS Code 9018) ร้อยละ 2.11 ตามลำดับ
- รัฐที่เป็นแหล่งนำเข้าสินค้าของไทย ได้แก่ รัฐลุยเซียนา (ร้อยละ 32) รัฐมิชิแกน (ร้อยละ 21.02) รัฐโอไฮโอ (ร้อยละ 18.23) รัฐอิลลินอยส์ (ร้อยละ 9.86) และรัฐวิสคอนซิน (ร้อยละ 7.90) ตามลำดับ โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียม (HS Code 2711) ร้อยละ 14.77 ชิ้นส่วนรถยนต์ (HS Code 8708) ร้อยละ 11.75 เครื่องบิน (HS Code 8800) ร้อยละ 10.51 น้ำมัน (HS Code 2707) ร้อยละ 7.98 กากน้ำตาล (HS Code 2303) ร้อยละ 3.36 ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ (HS Code 8714) ร้อยละ 2.91 เครื่องปั้มน้ำ (HS Code 8413) ร้อยละ 2.43 ฟิลเตอร์ (HS Code 8421) ร้อยละ 2.27 เศษเหล็ก (HS Code 7204) ร้อยละ 1.77 และเครื่องยนต์ (HS Code 8407) ร้อยละ 1.76 ตามลำดับ
สถิติการค้าสหรัฐฯ – ไทย (เฉพาะรัฐในเขตพื้นที่ดูแลของ สคต. ชิคาโก)
ที่มา: U.S. Census Bureau, U.S. Department of Commerce
******************************
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)