โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 โดยทั่วโลกรวมถึงแคนาดาจับตาผลการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิดและเริ่มประเมินความเสี่ยงการใช้นโยบายปกป้องทางการค้า ของสหรัฐฯ ซึ่งแคนาดาอาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากแคนาดาเป็นระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ และมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของแคนาดาในปี 2566 กว่าร้อยละ 77 ไปสหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่า 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรืออาจเรียกได้ว่าแคนาดาพึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นหลักสำหรับภาคการส่งออกเกือบทั้งหมด
การที่ทรัมป์กล่าวในช่วงหาเสียงว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าขั้นต่ำร้อยละ 10 กับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ ซึ่งอาจรวมถึงสินค้าจากแคนาดา หากสหรัฐฯ ดำเนินการตามนั้นจริงคาดว่าแคนาดาจะสูญเสียรายได้ถึง 33 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอาจทำให้เศรษฐกิจแคนาดามีขนาดเล็กลงร้อยละ 1.7 ในปี 2571 รวมทั้งการขึ้นภาษีจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าสหรัฐฯ จะมองแคนาดาเป็นมิตรมากกว่าศัตรู ในการร่วมมือกันในการกีดกันการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากจีน และมองว่านโยบายของทรัมป์ในการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้น และส่งผลให้มีความต้องการสินค้าและบริการจากแคนาดามากขึ้น นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จาก TD Bank (ธนาคารใหญ่อันดับ 2 ของแคนาดา) เห็นว่าการขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าร้อยละ 10 กับแคนาดาของทรัมป์นั้น อาจเป็นแค่เทคนิคการต่อรองในเบื้องต้น ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นการชี้นำว่าสหรัฐฯ จะขอปรับเงื่อนไขใหม่ในข้อตกลง USMCA (United States-Mexico-Canada Agreement) ซึ่งมีกำหนดต้องทบทวนช่วงกลางปี 2569 เพื่อเอื้อประโยชน์ทางการค้าให้กับสหรัฐฯ มากขึ้น
ท่าทีจากจากรัฐบาลแคนาดาล่าสุดโดย นาง Chrystia Freeland รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลแคนาดามีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐไม่ว่าจะมีผู้นำที่มาจากพรรคใด และความสัมพันธ์ด้านการค้ากับสหรัฐ มีความสำคัญกับแคนาดาอย่างมาก โดยในแต่ละวันมีการค้าสินค้าบริการระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ประมาณ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (8.5 หมื่นล้านบาท) รัฐบาลแคนาดามีความพร้อมในการรับมือกับรัฐบาลของทรัมป์ และเห็นว่าแคนาดากับสหรัฐฯ มีแนวทางเดียวกันในการจัดการกับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับจีน สองฝ่ายจึงน่าจะเป็น Partner ที่ดีในการร่วมกันสร้างห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคอเมริกาเหนือได้
นอกเหนือจากประเด็นทางการค้าแล้ว จากการที่สหรัฐฯจะผลักดันผู้อพยพย้ายถิ่นที่ผิดกฎหมายออกนอกประเทศ แคนาดาอาจได้รับผลกระทบในเรื่องการทะลักเข้ามาของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะจากภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียน ในสถานะผู้ลี้ภัย ที่จะเป็นภาระให้แคนาดาในระยะสั้น-กลาง นอกจากนี้ แคนาดาอาจถูกกดดันโดยสหรัฐฯ ให้เพิ่มงบประมาณด้านการทหารให้เป็นไปตามพันธกรณีของ NATO ที่ระดับร้อยละ 2 ของมูลค่า GDP
ความเห็น สคต.
ภาครัฐและภาคเอกชนในแคนาดาติดตามผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดเนื่องจากสหรัฐฯ มีความสำคัญต่อแคนาดาอย่างมาก ทั้งการค้าสินค้าและบริการ และการลงทุน ซึ่งนโยบายของทรัมป์ย่อมส่งผลกระทบต่อแคนาดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกรวมถึงแคนาดา จะส่งผลต่อทั้งภาคการผลิตและสินค้าเกษตร หากภาคส่งออกแคนาดาประสบปัญหาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อของแคนาดาโดยตรง ซึ่งย่อมกระทบต่อการนำเข้าจากทั่วโลกรวมถึงไทย อย่างไรก็ดี เนื่องจากการใช้มาตรการของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับแคนาดามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ในทุกมิติ และเป็นพันธมิตรและมีผลประโยชน์ร่วมกันหลายด้าน อาทิ ห่วงโซ่อุปทานการผลิต โดยเฉพาะยานยนต์และพลังงาน การดำเนินมาตรการของสหรัฐฯต่อแคนาดาจะก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ด้วย และแคนาดาอาจไม่ใช่ภัยคุกคามของสหรัฐฯ ในชั้นนี้
โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66 2792 6900)
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ผลกระทบการชนะเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อแคนาดา