นาย Finn Hänsel ผู้บริหารของบริษัท Sanity ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้ากัญชาที่ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ได้ออกมาแสดงท่าทีที่ผิดหวังกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในยุคปัจจุบัน เพราะเดิมทีนาย Hänsel หวังไว้ว่า รัฐบาลเยอรมนีจะเอาจริงเอาจังกับการเปิดเสรีกัญชาอย่างเต็มรูปแบบ (จำหน่ายและเพาะปลูกกัญชาเพื่อการสันทนาการ) แต่ผลสุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามนั้น ซึ่งนาย Hänsel ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ว่า ความหวังที่จะเปิดเสรีกัญชาแบบจริงจังของเยอรมนีคงต้องพับไปก่อน เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนแผน โดยอาจมีโครงการนำร่องอนุญาตให้ขายกัญชาได้ในบางภูมิภาค และจำกัดระยะเวลาไว้เพียงแค่ 5 ปีก่อนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก เรื่องนี้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ค่อนข้างมากเพราะถ้าหากบริษัทลงทุนไปกับการปลูกและระบบโลจิสติกส์แล้ว ต้องใช้เงินทุนที่สูงกว่า 20 ล้านยูโร และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ระดมทุนเพื่อการขยายธุรกิจสูงถึง 36.7 ล้านยูโร ซึ่งเงินก้อนนี้บริษัทฯ ไม่ได้เตรียมไว้ใช้เฉพาะกับการขยายความหลากหลายของสินค้าเวชภัณฑ์ยาจากกัญชาที่ต้องได้รับการสั่งจากแพทย์เท่านั้น แต่วางแผนที่จะใช้เงินก้อนนี้กับกันผลักดันตัวบริษัทให้เข้ามาเป็นผู้นำในตลาดกัญชาเสรีอีกด้วย
แม้มูลค่าตลาดของกัญชาจะสูงและดึงดูดความสนใจให้แก่นักลงทุนมากขนาดไหน แต่จากการดำเนินนโยบายที่ไม่ชัดเจนจึงทำให้ภาคเอกชนต้องชะลอแผนการดำเนินธุรกิจออกไปก่อน สำหรับแผนการเปิดเสรีกัญชาในช่วงแรกของรัฐบาลที่ปล่อยออกมา เบื้องต้นกำหนดให้การใช้งานกัญชาเสรีต้องผ่านสมาคมกัญชา (Cannabis Club) เท่านั้น (ทั้ง ๆ ที่เดิมรัฐบาลมีแผนที่จะเปิดเสรีกัญชาในรูปแบบเดียวกันกับสหรัฐอเมริกาบางรัฐ) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลเยอรมันต้องชะลอในเรื่องนี้เป็นเพราะคำท้วงติงจากสหภาพยุโรป สำหรับการเตรียมการเปิดเสรีกัญชาแบบเต็มรูปแบบในระยะที่ 2 นั้น จะเป็นไปในรูปแบบใดคาดการณ์กันว่าจะสามารถชัดเจนได้ในช่วงปลายปี 2023 จากประเด็นความไม่ชัดเจนดังกล่าวและความล่าช้านี้เอง ทำให้ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกัญชาในเยอรมนีต่างก็แสดงความไม่พอใจในรัฐบาลยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก นาย Hänsel ได้กล่าวว่า “การไม่ทราบถึงกรอบการทำงานที่ชัดเจนทำให้เราเสียเวลาในการพัฒนาห่วงโซอุปทานของสินค้ากัญชาไปอย่างมหาศาล” และถึงแม้ว่าขณะนี้โครงการนำร่องจะอนุญาตให้เอกชนสามารถเปิดร้านจำหน่ายเฉพาะสินค้ากัญชาได้แล้ว แต่ก็ต้องได้รับอนุญาตและความร่วมมือจากหน่วยงานราชการในระดับท้องถิ่นอยู่ดี
ความไม่พอใจของภาคธุรกิจได้สะท้อนโดยตรงไปยังรัฐบาล และถึงแม้รัฐบาลเยอรมนีจะยังยืนยันว่า ต้องการเดินหน้าเปิดเสรีกัญชา แต่ก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อไร ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้ได้ทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลใจ เพราะบริษัทขนาดเล็กอาจจะไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ และอาจต้องล้มหายจากตลาดไปในที่สุด และสุดท้ายอาจถูกกลืนกินโดยยตลาดจากต่างประเทศได้ ด้านนาง Kristine Lütke สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้านสาธารณสุข ในสังกัดพรรค FDP ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ไว้ว่า “เราต้องเร่งผลักดันแคมเปญกัญชา Made in Germany” โดยต้องพยายามส่งเสริมให้ผู้ผลิตในประเทศเข้าร่วมโครงการนำร่องในประเทศ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถสั่งสมประสบการณ์ได้ นาง Lütke กล่าวต่อไปว่า “มีความสำคัญมากที่จะต้องเปิดเสรีกัญชาในทั่วทุกภูมิภาค” ซึ่งภาคเอกชนในประเทศจะต้องเป็นส่วนหนึ่งในแผนการก่อตั้ง Cannabis Club ด้วย “โดยพวกเขาจะต้องได้รับอนุญาตให้จำหน่ายและกระจายต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์ได้ด้วย” แม้ว่าในร่างกฎหมายนี้เขียนไว้ว่า “ไม่อนุญาตให้ Cannabis Club สั่งให้บุคคลที่สามปลูกก็ตาม” ซึ่งร่างกฎหมายข้อนี้เองที่สร้างความไม่พอใจให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยใน Cannabis Club นั้น โดยจะเป็นในรูปแบบสมาคมแบบไม่แสวงหาผลกำไรที่มีสมาชิกไม่เกิน 500 คน สามารถปลูกกัญชาเพื่อให้สมาชิกใช้งานได้ ซึ่งรัฐบาลร่างกฎหมายข้อนี้ขึ้นเพื่อที่จะหาทางทำลายตลาดมืดลง แต่ภาคเอกชนเห็นว่า คงเป็นไปได้ยากที่ Cannabis Club จะสามารถบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ อาทิ การเพาะปลูกได้เองโดยปราศจาการช่วยเหลือจากภาคเอกชน ด้านนาย Thomas Schatton ผู้บริหารบริษัท Four 20 Pharma จากเมือง Paderborn กล่าวว่า “ต้นทุนด้านพลังงาน การดำเนินงาน และค่าเช่า อยู่ในระดับที่สูงเกินไป ในฐานะที่ Cannabis Club เป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรอาจจะสามารถจัดการด้วยตัวเองได้ยาก ซึ่งปัจจุบัน Cannabis Club มีสมาชิก 500 ราย ต้องการพื้นที่ในการเพาะปลูกขั้นต่ำ 1,000 ตารางเมตร ในการเพาะปลูก ตากแห้ง และแปรรูป ซึ่งในเมืองใหญ่อย่างกรุงเบอร์ลิน ฮัมบูร์ก หรือแฟรงเฟิร์ต แทบจะหาพื้นที่ใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้เลย นอกจากจะหาพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ยากแล้ว พื้นที่ดังกล่าวต้องตั้งห่างจากสถานศึกษาอีกด้วย พอถึงตรงนี้นาย Hänsel เห็นว่า “หากรัฐบาลยังล่าช้าที่จะทำตามแผนเดิมที่เคยวางไว้ ก็ไม่มีทางที่จะสามารถกำจัดตลาดมืดให้หมดไปได้”
นาง Kirsten Kappert-Gonther สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้านสาธารณสุข ในสังกัดพรรค Grünen ได้ให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ว่า “จะต้องไม่ให้ปัญหาด้านเอกสารทางราชการมาทำให้กลายเป็นอุปสรรคได้” โดยเห็นว่าใน Cannabis Club สามารถตรวจสอบกฎระเบียบเกี่ยวกับเสริมสร้างและคุ้มครองเด็กและเยาวชนตามเงื่อนไขข้อห้ามได้ง่าย และกล่าวว่า “หากมีผู้บรรลุนิติภาวะเข้าถึงกัญชาที่ถูกกฎหมายมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะทำให้ตลาดมืดลดตัวลงมากขึ้นเท่านั้น” แน่นอนที่กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจกัญชาต้องการที่จะได้รับผลประโยชน์จากการกึ่งเสรีกัญชาในครั้งนี้ อย่างกลุ่ม Bloomwell Group จากเมือง Frankfurt am Main โดยนาย Niklas Kouparanis ผู้บริหารกล่าวกับ Handelsblatt ว่า “ยอดจำหน่ายสินค้ากัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์จะขยายตัวขึ้นตาม” ในเวลาเดียวกันเขาต้องการที่จะนำเสนอโครงสร้างด้าน IT ให้กับ Cannabis Club อีกด้วย ในระหว่างที่ Four 20 Pharma วางแผนที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการนำร่องในภูมิภาค นาย Schatton กล่าวว่า “เราเห็นว่าการปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์ในเยอรมนียังอยู่ในช่วงอนุบาลเท่านั้น” ซึ่งหากสามารถร่วมงานได้จริงก็เตรียมที่จะลงทุนกับพื้นที่ 12,000 ตารางเมตรและน่าจะมีการจ้างงานระหว่าง 200 – 250 ตำแหน่ง นาย Schatton คาดการณ์ว่า เพื่อการนี้น่าจะต้องมีการลงทุนมากถึง 40 ล้านยูโร เพื่อที่จะสามารถให้มีกำลังการผลิตที่ 15 ตันต่อปี ในเวลานี้บริษัทได้ผลิตกัญชาในประเทศโปรตุเกสเพื่อตลากอังกฤษโดยเฉลี่ยปีละ 2 – 3 ตันแล้ว และผลิตในแคนาดาเพื่อตลาดเยอรมัน แต่ปริมาณนี้เรียกได้ว่าไม่สามารถเท่ากับปริมาณที่จะเกิดขึ้นหากมีการเสรีกัญชาเกิดขึ้นอย่างจริงจัง นาย Justus Haucap นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ในประเทศเยอรมนีมีความต้องการใช้กัญชาที่ 380 – 420 ตันต่อปี หรือเป็นมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านยูโร
Handelsblatt 19 พฤษภาคม 2566
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน (Thanit Hirungitrungsri)
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)