เวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมากสำหรับธุรกิจร้านซักรีด เนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีประชากรจำนวนมาก สถิติจากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าในเดือนพฤษภาคม 2565 ระบุว่า ขนาดของตลาดซักรีดเชิงพาณิชย์ของประเทศอยู่ที่ประมาณ 205 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี โดยมีอัตราการเติบโตร้อยละ 6 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเอเชียที่ร้อยละ 3.6
สถิติในปี 2565 ยังแสดงให้เห็นว่ามีร้านซักรีดประมาณ 15,316 ร้านในประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 60 เปิดภายในช่วงปี 2563-2565 โดยมากกว่าร้อยละ 96 เป็นธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจในครัวเรือน
พฤติกรรมการบริโภคแบบใหม่ มาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นของชนชั้นกลางชาวเวียดนาม และคนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ได้นำไปสู่เทรนด์ใหม่ในผู้บริโภคมากขึ้น
รูปแบบธุรกิจที่ผู้ประกอบการเวียดนามชื่นชอบคือการผสมระหว่างบริการซักรีดที่ให้มีเจ้าหน้าให้บริการโดยตรงและบริการซักรีดแบบบริการเอง ดังนั้นร้านซักรีดจึงกลายเป็นการลงทุนที่มีศักยภาพ เนื่องจากตลาดมีการเติบโตโดยมีความต้องการสูงและมีการแข่งขันต่ำ เจ้าของร้านซักรีดในเขต Hai Bà Trung ของกรุงฮานอยกล่าวว่า ลูกค้าจำนวนมากที่มาที่ร้านเป็นคนหนุ่มสาวที่ต้องการบริการซักรีด เพื่อรักษาคุณภาพของเสื้อผ้าของตน นอกจากนี้ลูกค้าจำนวนมากยังเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่มีเวลาซักเสื้อผ้าตลาดซักรีดดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากที่เป็นผู้ให้บริการอุปกรณ์ซักรีดหรือผู้พัฒนาร้านซักรีด
บริษัท Alliance Laundry Systems (ALS) ผู้นำระดับโลกด้านอุปกรณ์ซักรีดระบุว่า ทางบริษัทกำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ด้วยการต้อนรับผู้ประกอบการในท้องถิ่นทุกคนที่มีวิสัยทัศน์ในการปฏิวัติภาคการซักรีดแบบบริการตนเองเชิงพาณิชย์ในเวียดนาม ตลาดเวียดนามสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบริการซักรีดที่มีคุณภาพที่เพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคในประเทศและนักเดินทางต่างประเทศ ส่งผลให้มีการลงทุนด้านบริการซักรีดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ของเวียดนาม และ ALS เชื่อว่า ในขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการเร่งตั้งหลักในเวียดนาม บริษัทกำลังดำเนินการเชิงกลยุทธ์เพื่อเจาะและขยายการดำเนินงานในเวียดนามภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง 5 แบรนด์ ได้แก่ Speed Queen, UniMac, Huebsch, Primus และ IPSOในตลาดอาเซียนอื่นๆ บริษัทซึ่งมีฐานที่มั่นคง เครื่องซักผ้าแบบบริการโดยตนเองเป็นรูปแบบธุรกิจที่ผู้ประกอบการชื่นชอบมากกว่า เนื่องจากสามารถดำเนินการตลอดเวลา
นอกเหนือจากการจัดหาอุปกรณ์เชิงพาณิชย์แล้ว บริษัทยังได้รับการยอมรับจากความสำเร็จในการขยายแฟรนไชส์ร้านซักรีดทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดที่มีลักษณะคล้ายกับเวียดนาม
ในเดือนสิงหาคม 2566 Masan ได้เปิดเครือร้านซักรีด 4 แห่งชื่อ Joins Pro โดย Masan คาดว่า โมเดลนี้จะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างด้วยความสามารถในการซักและอบแห้งภายใน 25 นาที นอกจากนี้ยังเป็นวิธีแก้ปัญหาสำหรับพื้นที่อยู่อาศัยที่ คับแคบโดยไม่มีพื้นที่สำหรับตากแห้ง โดยเฉพาะกับสิ่งของขนาดใหญ่ เช่น ผ้าห่ม หมอน ฯลฯ โดยผู้ใช้จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสภาพอากาศอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็ประหยัดเวลาในการซักและอบผ้าที่บ้านอีกด้วย
นอกจากนักลงทุนรายใหญ่แล้ว ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากยังเปิดร้านซักรีดเนื่องจากมีการลงทุนที่ไม่แพงและมีความต้องการสูงในประเทศ
(จาก https://vietnamnews.vn/)
ข้อคิดเห็น สคต
ในปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง โดยผู้บริโภคที่นิยมความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เริ่มปรับเปลี่ยนจากการซักผ้าเองและบริการร้านซักผ้าที่มีพนักงาน สู่ร้านซักผ้าหยอดเหรียญและเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมที่ซักผ้าได้รวดเร็ว หรือซักผ้าขนาดใหญ่ เช่น ผ้านวมได้ และมีบริการอบผ้าให้เรียบร้อย เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ในเวียดนามมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นของชนชั้นกลางชาวเวียดนาม และคนรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ได้นำไปสู่เทรนด์ใหม่ ธุรกิจประเภทนี้ได้ถยอยเข้ามาในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจยังเติบโตได้สูงเป็นเท่าตัวในแต่ละปี เนื่องจากผู้แข่งขันในตลาดยังมีไม่มาก แม้จะเริ่มเห็นรายใหญ่ๆ สนใจและประกาศตัวที่จะเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งในตลาด สถิติในปี 2565 ยังแสดงให้เห็นว่ามีร้านซักรีดประมาณ 15,316 ร้านในประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 60 เปิดภายในช่วงปี 2563-2565 โดยมากกว่าร้อยละ 96 เป็นธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจในครัวเรือน ซึ่งการเติบโตของธุรกิจร้านซักผ้าส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องซักผ้า หรือแม้ว่าสินค้าอุปโภค เช่น ผงซักฟอก น้ํายาปรับผ้านุ่ม ฯลฯ ก็จะมีโอกาสในการเติบโตได้ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขยายตลาดของผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าเครื่องซักผ้าและอุปโภคมายังเวียดนามมากขึ้น
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)