หน้าแรกTrade insightยานยนต์เเละส่วนประกอบ > คาร์นีย์ชูอาเซียนเป็นกุญแจสำคัญ แก้วิกฤตภาษีทรัมป์หลังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ล่ม

คาร์นีย์ชูอาเซียนเป็นกุญแจสำคัญ แก้วิกฤตภาษีทรัมป์หลังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ล่ม

นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ (Mark Carney) ของแคนาดา ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit)  ครั้งที่ 47 ที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม 2568 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมแคนาดาในฐานะหุ้นส่วนทางการค้าที่มั่นคงและเชื่อถือได้ให้แก่ประเทศในภูมิภาค

การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศความตึงเครียดทางการค้าที่รุนแรงกับสหรัฐฯ ที่ปะทุขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าการประชุม เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยุติการเจรจาการค้ากับแคนาดา โดยอ้างสาเหตุจากโฆษณาของรัฐบาลรัฐออนแทริโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนของสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันกล่าวว่า ภาษีศุลกากรก่อให้เกิดสงครามการค้าและความเสียหายทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจโฆษณาดังกล่าวอย่างมาก และได้ประกาศในช่วงค่ำวันที่ 23 ตุลาคมว่า โฆษณานั้นมีเนื้อหาที่บิดเบือน จึงทำให้มีการตัดสินใจล้มการเจรจาการค้าทั้งหมดกับแคนาดา และยืนยันว่าจะไม่พบกับคาร์นีย์ระหว่างการเยือนอาเซียน

ประเทศแคนาดาเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือ G7 ที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยขณะนี้สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิดของแคนาดาในอัตราร้อยละ 35 แม้ว่าสินค้าส่วนใหญ่จะได้รับการงดเว้นจากข้อตกลงการค้าเสรี แต่ก็มีการจัดเก็บภาษีในบางภาคอุตสาหกรรมของแคนาดา เช่น ภาษีเหล็กในอัตราร้อยละ 50 และภาษีรถยนต์นำเข้าจากแคนาดาที่ร้อยละ 25 ซึ่งเป็นผลเสียต่อรัฐออนแทริโอที่เป็นแหล่งผลิตรถยนต์ในแคนาดา

ด้านคุณเจมี ทรอนเนส ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวว่า ความขัดแย้งครั้งนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอุปสรรคที่สำคัญของแคนาดาคือ การหาความแน่นอนทางการค้า โดยต้องมั่นใจได้ว่า เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาแล้วนั้น ข้อตกลงจะไม่ถูกยกเลิกในนาทีสุดท้าย โดยคุณเจมีฯ กล่าวว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศพันธมิตรยากที่จะไว้วางใจในข้อตกลงระยะยาวได้

ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น นายกรัฐมนตรีคาร์นีย์จึงใช้เวทีการประชุมสุดยอดอาเซียนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ซึ่งผู้นำแคนาดายังมีกำหนดจะพบกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์        อิบราฮิมของมาเลเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับพลังงานสีเขียวและแร่ธาตุสำคัญ รวมทั้งจะเยี่ยมชมธนาคารกลางของมาเลเซีย บริษัทน้ำมันและก๊าซ และโรงงานอุตสาหกรรมอวกาศด้วย

ขณะเดียวกัน นายเวย์น ฟาร์เมอร์ ประธานสภาธุรกิจแคนาดา–อาเซียน กล่าวว่า ประเทศในภูมิภาคนี้มองแคนาดาในแง่บวก โดยสมาชิกในกลุ่มอาเซียนก็มีความต้องการอย่างมากที่จะขยายความร่วมมือกับแคนาดา เพราะมองว่าแคนาดาเป็นพันธมิตรที่มั่นคงและเชื่อถือได้ ซึ่งสามารถวางแผนทำงานร่วมกันในระยะยาวได้

 

ความเห็นสคต. สำนักงานฯ เห็นว่าภารกิจการเยือนเอเชียของนายกรัฐมนตรีคาร์นีย์เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง จากข้อมูลจากการสำรวจแนวโน้มธุรกิจประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ของธนาคารกลางแคนาดา ระบุว่า เศรษฐกิจในประเทศถูกกดดันอย่างหนักจากความขัดแย้งกับสหรัฐฯ โดยความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังคงซบเซา การลงทุนและการจ้างงานหยุดชะงัก และสัดส่วนบริษัทที่คาดว่าจะเกิดภาวะถดถอยได้เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 33 นอกจากนี้ ผลกระทบจากภาษียังทำให้กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลง เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น 

จากดัชนีเศรษฐกิจดังกล่าวจึงเร่งให้เกิดความสำคัญของยุทธศาสตร์การกระจายตลาด (Trade Diversification) ของรัฐบาลแคนาดา พร้อมแสวงหาหุ้นส่วนที่มั่นคงและเชื่อถือได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์อันดีที่ประเทศไทยจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง และศักยภาพในการผลิตสินค้าคุณภาพ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าของไทยเข้าสู่ตลาดแคนาดาให้มากขึ้น สำหรับผู้ประกอบการไทยควรเน้นกลุ่มสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานและสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นทางเลือกทดแทนแหล่งนำเข้าอื่น ๆ จากสหรัฐฯ ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐานสากล ทั้งด้านความปลอดภัย คุณภาพการผลิตและการตรวจสอบ

อ่านข่าวฉบับเต็ม : คาร์นีย์ชูอาเซียนเป็นกุญแจสำคัญ แก้วิกฤตภาษีทรัมป์หลังเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ล่ม

Login

ปิดโหมดสีเทา