เว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยวชื่อดัง ทริปแอดไวเซอร์ (TripAdvisor) ได้จัดอันดับ “world’s most popular destination” ประจำปี 2566 ซึ่งผลปรากฎว่า ดูไบได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลกติดต่อมาเป็นปีที่สอง ในการจัดอันดับในครั้งนี้พิจารณาจากคุณภาพและปริมาณการรีวิว ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เข้ามาเขียนเล่าเรื่องราวประสบการณ์ในเว็บไซต์ TripAdvisor ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2564 ถึงตุลาคม 2565 รวมถึงความนิยมของโพสต์ที่รีวิว
นอกจากนี้ข้อมูลขององค์การการค้าโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Trade Organization : UNWTO) ระบุว่าภูมิภาคตะวันออกกลางมีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2565 หรือคิดเป็นร้อยละ 83 ของจํานวนก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 และอีกรายงานของ UNWTO ฉบับเดือนกันยายน 2565 ระบุตะวันออกกลางมีการฟื้นตัวในอัตราเร่งระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2565 โดยมีจํานวนผู้โดยสารขาเข้าเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าเมื่อเทียบเป็นรายปี และภายในภูมิภาคนี้มียูเออีเป็นประเทศเดียวที่ภาคการท่องเที่ยวเติบโตในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2565 เกินระดับก่อนเกิดโรคระบาด
ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดูไบซึ่งเป็นเมืองหลวงทางการค้าและการท่องเที่ยวอันของยูเออีได้ทำการปฏิรูปอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้เมืองนี้น่าดึงดูดใจมากขึ้นสำหรับชาวต่างชาติและบริษัทต่างชาติในการอยู่อาศัยและลงทุน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีจํานวนเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ อาทิ การปฏิรูปวีซ่าที่ประกาศเมื่อปีที่แล้วซึ่งทําให้การเดินทางไปยูเออีง่ายขึ้นมาก กฎวีซ่าใหม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศเป็นเวลา 60 วันได้ แทนที่จะเป็น 30 วันเท่านั้น และวีซ่าท่องเที่ยว 5 ปีแบบเข้าออกหลายครั้ง (multiple-entry) มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในด้านการท่องเที่ยว เช่น การสร้างทางด่วนและทางหลวงที่สะดวกสบายสำหรับการเดินทาง การพัฒนาสนามบินและท่าเรือเพื่อสามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สายการบินยูเออีกลับมาให้บริการในเส้นทางที่ถูกระงับในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั้งยังได้เพิ่มจุดหมายปลายทางและเที่ยวบินมากขึ้น
สำหรับรายได้จากการท่องเที่ยวของดูไบในปี 2565 ประมาณ 43.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.1 ของ GDP ประเทศ และตั้งเป้าว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะเพิ่มเป็นมูลค่า 72 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2570
การท่องเที่ยวในรัฐอื่นๆ
ในปี 2565 ดูไบต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 14.36 ล้านคน แซงหน้าดัชนีชี้วัดการฟื้นตัวทั่วโลกและระดับภูมิภาค โดยได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมต่างๆ เช่น งาน Expo 2020 ดูไบ งานแสดงสินค้า Gulfood, Gitex, Arabian Travel Market และการประชุมสุดยอดรัฐบาลโลก นอกจากนี้การท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรมได้กลายเป็นเทรนด์สําคัญในดูไบ
นอกจากนี้ กรุงอาบูดาบีเมืองหลวงของยูเออีได้กลายเป็นประตูสําคัญสู่ประเทศ ตามรายงานของ Moodie Davitt ระบุในปี 2565 มีนักท่องเที่ยว 15.54 ล้านคนเดินทางผ่านสนามบินนานาชาติอาบูดาบี เพิ่มขึ้นสามเท่าจากปี 2564 ที่มีจำนวน 5.26 ล้านคน คิดเป็นการฟื้นตัวร้อยละ 73.6 เทียบกับระดับก่อนเกิดโควิด-19 อัตราการเข้าพักโรงแรมที่ร้อยละ 70 โดยมีนักท่องเที่ยว 4.1 ล้านคนเข้าพักในโรงแรมในอาบูดาบีเมื่อปีที่แล้ว รายได้จากโรงแรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 ในปี 2565
ส่วนรัฐทางตอนเหนือของยูเออีมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมมากขึ้นเช่นกัน เช่น รัฐ Sharjah เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวชาวยุโรป โดยมีแขกของโรงแรม 1.4 ล้านคน ซึ่ง 165,000 คนมาจากรัสเซีย จำนวนนักท่องที่ยวชาวเยอรมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อน องค์การท่องเที่ยวรัฐชาร์จาห์เปิดเผยว่ารายได้ของโรงแรมมีมูลค่ามากกว่า 55 ล้านเหรียญสหรัฐฯในไตรมาสแรกปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนปริมาณผู้โดยสารที่สนามบินชาร์จาห์เพิ่มขึ้นร้อยละ 84.73 โดยมีผู้เดินทาง 13 ล้านคนในปี 2565
รัฐ Ras Al Khaimah (RAK) มีนักท่องเที่ยวกว่า 1.13 ล้านคนในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 โดยมีนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถาน รัสเซีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี และสาธารณรัฐเช็กเป็นตลาดหลัก และองค์การท่องเที่ยว Ras Al Khaimah Tourism Development Authority (RAKTDA) ตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องที่ยวให้ได้เพิ่มเป็น 3 ล้านคนภายในปี 2573 และในไตรมาส 3 ปีนี้ จะร่วมเป็นพันธมิตรกับสายการบิน Qatar Airways เปิดเที่ยวบินตรงระหว่างเมือง Munich กับ RAK ส่วนสายการบิน Gulf Air ของบาห์เรนยังมีเที่ยวบินสองเที่ยวต่อสัปดาห์ไปยัง RAK ทําให้การเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวสะดวกขึ้น นอกจากนี้ RAK มีการอนุรักษ์วัฒนธรรมโดยมีแหล่งมรดกโลกขององค์การ UNESCO 4 แห่ง
ภาคการบริการรัฐ Ajman มีการเติบโตของรายได้โดยรวมร้อยละ 9% มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 26% และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 14% ในปี 2565
รัฐ Fujairah ทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศมีรายได้จากห้องพักขยายตัวร้อยละ 26.7 ในช่วงไตรมาสแรกปี 2565 และหากโครงการ Qidfa Development แล้วเสร็จคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ปีละ 100,000 คน
ความเห็นของ สคต. ณ เมืองดูไบ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ลงทุนด้านการท่องเที่ยวอย่างหนักมาเป็นเวลานาน พยายามกระจายเศรษฐกิจเพื่อหลุดพ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน การท่องเที่ยวจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของยูเออี ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของยูเออีเติบโตอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูไบได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ โดยมีสนามบินและสายการบินระดับโลกอย่างเอมิเรตส์เชื่อมต่อเมืองสู่จุดหมายปลายทางทั่วโลก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของยูเออีส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เนื่องจากสนับสนุนภาคส่วนอื่นๆ มากมาย เช่น การขนส่ง การโรงแรม และการค้าปลีก การเติบโตของการท่องเที่ยวยังสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ เช่น โรงแรม รีสอร์ท และสวนสนุก โดยรวมแล้ว การให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวของยูเออีได้ช่วยกระจายเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาน้ำมัน ดังนั้นภาคการท่องเที่ยวได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความพยายามในการกระจายความเสี่ยงของ ยูเออีและมีส่วนสําคัญต่อ GDP นอกจากนี้ ยูเออีกําลังลงทุนอย่างแข็งขันในโครงการริเริ่มใหม่ ๆ เสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เปิดตัวแคมเปญระดับโลก และใช้ประโยชน์จากกลุ่ม MICE ที่กําลังเติบโตเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว คาดว่าการท่องเที่ยวจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต
—————————–
Gulf Business
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)