การประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีเยอรมนี นายฟรีดริช เมิร์ซ (Friedrich Merz) และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เกิดขึ้นช่วงบ่ายวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ณ ทำเนียบขาวสหรัฐอเมริกา การประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นการพบปะกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเมิร์ซในฐานะผู้นำคนใหม่ของเยอรมนี และ ทรัมป์
ในการประชุมครั้งนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากเยอรมนีกำลังเผชิญกับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาถึง 50% ภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม นอกจากเรื่องภาษีเนื้อหาที่อยู่ในวาระการประชุมยังมีเกี่ยวข้องกับ การสนับสนุนยูเครน ค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมและ NATO (North Atlantic Treaty Organization) ความสัมพันธ์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และประเด็นอื่น ๆ
เนื้อหาการประชุม
- ยูเครนและรัสเซีย
ในการประชุมครั้งนี้ เมิร์ซได้เริ่มตนจากการเรียกร้องให้ทรัมป์ใช้บทบาทของตนกดดันรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน โดยชี้ว่าทรัมป์เป็น “บุคคลสำคัญ” ที่สามารถโน้มน้าวมอสโกได้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในเรื่องความเร่งด่วนของสถานการณ์ โดยเมิร์ซเน้นย้ำถึงบทบาทนำของสหรัฐฯ ในการส่งเสริมสันติภาพ ซึ่งหากสถานการณ์ในยูเครนคลี่คลาย ความเสี่ยงในภูมิภาคยุโรปตะวันออกจะลดลง นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น หมายความว่าหากในอนาคตสงครามยูเครนสามารถยุตติลงได้ โอกาสในการขยายตลาดส่งออกโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมหนัก เช่น เครื่องจักรและพลังงาน
- ความสัมพันธ์ทางการค้าและภาษี
ประเด็นร้อนคือข้อเสนอของทรัมป์ที่จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปเป็น 50% ภายในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ เมิร์ซแสดงความหวังอย่างระมัดระวังว่าอาจบรรลุข้อตกลงได้ โดยเขาชี้ว่าทรัมป์ดูเหมือนมีท่าทีเปิดกว้างต่อการเจรจา ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันต่อการค้าระหว่างประเทศ
- การป้องกันประเทศและ NATO
เมิร์ซกล่าวถึงการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเด็นที่ทรัมป์เคยวิจารณ์ในอดีต แม้ทรัมป์จะชื่นชมความพยายามล่าสุด แต่เขาก็แสดงความกังวลต่อการเสริมกำลังทางทหารของเยอรมนี โดยอ้างอิงถึงความอ่อนไหวในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าการมีอยู่ของทหารสหรัฐฯ ในเยอรมนีนั้นเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ งบกลาโหมที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นอุตสาหกรรมอาวุธและเทคโนโลยีของเยอรมนี ซึ่งมีส่วนร่วมในการผลิตเพื่อ NATO นอกจากนั้นการส่งเสริมงบกลาโหมของเยอรมนียังส่งเสริมการส่งออกเทคโนโลยีทางทหาร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบความมั่นคง
- การฟื้นฟูพันธมิตรข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
นอกเหนือจากประเด็นเชิงนโยบาย การประชุมครั้งนี้ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เมิร์ซเชิญทรัมป์ให้เยือนเยอรมนี และทรัมป์ก็ตอบรับคำเชิญอย่างอบอุ่น ถือเป็นสัญญาณของความร่วมมือที่มีแนวโน้มพัฒนาในอนาคต ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้นำสองประเทศอาจลดแรงตึงเครียดในด้านภาษี ช่วยให้ข้อตกลงการค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ลดโอกาสในการเกิดสงครามการค้า กระตุ้นการส่งออกสินค้ารถยนต์และอุตสาหกรรมหนักของเยอรมนีไปยังสหรัฐฯ
การตอบรับคำเชิญเยือนเยอรมนีของทรัมป์สร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง ส่งผลให้เยอรมนีมีความหน้าเชื้อถือในสายตาของนักลงทุน ส่งเสริมอุตสาหกรรมบริการ การท่องเที่ยว และการประชุมธุรกิจระหว่างประเทศ
สรุปอนาคตความสัมพันธ์สหรัฐอเมริกา-เยอรมนี
ในการประชุม 40 นาทีครั้งนี้ระหว่างนายกรัฐมนตรีฟรีดริช เมิร์ซ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการคลี่คลายปัญหาทางการเมืองและความมั่นคงในระดับโลก แต่ยังแสดงถึงแนวโน้มของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่อาจเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต หากทั้งสองฝ่ายสามารถรักษาบรรยากาศการเจรจาเชิงสร้างสรรค์เช่นนี้ไว้ได้ เยอรมนีมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงภาวะตึงเครียดทางการค้า กระตุ้นการส่งออก และดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ ได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เองก็จะได้รับประโยชน์จากพันธมิตรที่เข้มแข็งในยุโรป ทั้งในมิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศยังคงมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายประการ ความไม่แน่นอนในแนวทางการทูตของทรัมป์ที่มักเน้นผลประโยชน์เฉพาะหน้า (transactional diplomacy) อาจก่อให้เกิดความไม่คงที่ในการเจรจา นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศก็สามารถเปลี่ยนทิศทางนโยบายได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งโครงสร้างความคิดที่แตกต่างกันระหว่างแนวทางพหุภาคีของสหภาพยุโรปกับแนวทางทวิภาคีที่ทรัมป์นิยมใช้ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างในอนาคต ดังนั้น แม้จะมีสัญญาณบวกจากการประชุมครั้งนี้ แต่การรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวที่มั่นคงระหว่างเยอรมนีกับสหรัฐฯ จะต้องอาศัยความต่อเนื่อง ความยืดหยุ่น และการเจรจาที่รอบคอบเป็นพิเศษ.
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของ สคต.
- ผลกระทบจากการประชุมเยอรมนี–สหรัฐฯ ต่อการค้าระหว่างไทย–เยอรมนี
ภายหลังการประชุมระหว่างเยอรมนีกับสหรัฐฯ การค้าระหว่างไทยกับเยอรมนีอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการที่ทั้งสองประเทศมีแนวโน้มจะร่วมมือกันใกล้ชิดมากขึ้นในด้านนโยบายการค้า มาตรฐานด้านความยั่งยืน และ supply chain ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับ ESG การค้าดิจิทัล และการปล่อยคาร์บอน ส่งผลต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจและนักลงทุนไทยควรติดตามมาตรฐานใหม่จากฝั่งสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ หาตลาดใหม่เพิ่มเติม มุ่งเน้นการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มที่ยั่งยืน และสร้างพันธมิตรกับบริษัทเยอรมันเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
- ปรับตัวเพื่อรักษาตลาดและโอกาสในยุโรป
หลังจากการประชุมระหว่างเยอรมนีกับสหรัฐฯ ธุรกิจไทยที่ทำการค้ากับเยอรมนีควรเตรียมพร้อมรับมือกับการปรับแนวนโยบายร่วมกันของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะด้านกฎระเบียบสิ่งแวดล้อม นโยบายดิจิทัล และความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน เมื่อเยอรมนีและสหรัฐฯ เดินหน้าผลักดันมาตรการ ESG และคาร์บอนที่เข้มงวดมากขึ้น ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับข้อตกลง EU Green Deal และมาตรการ CBAM เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับบริษัทเยอรมันจะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถรักษาการเข้าถึงตลาดได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก นอกจากนี้ การวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตที่มีคุณภาพและเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ยังช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าเยอรมัน และควรมองหาโอกาสในประเทศอื่นภายในสหภาพยุโรปเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเยอรมนีเพียงอย่างเดียว
- การเร่งส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีอาจเปิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจระหว่างเยอรมนีกับประเทศพันธมิตร
ด้วยการเพิ่มงบประมาณกลาโหมของเยอรมนี ภาคเอกชนควรมองหาโอกาสในการเข้าไปร่วมเป็นผู้จัดหาเทคโนโลยีหรือบริการด้านความมั่นคง เช่น ซอฟต์แวร์ความปลอดภัย หุ่นยนต์ทางทหาร หรือระบบโลจิสติกส์ขั้นสูง โดยเฉพาะในประเทศที่มีข้อตกลงความร่วมมือกับ NATO
อ้างอิง:
อ่านข่าวฉบับเต็ม : ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก: เมิร์ซกับทรัมป์ เปิดฉากความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างเยอรมนี-อเมริกา