หน้าแรกTrade insightสับปะรด > ข้อมูลการนำเข้าสินค้าผักและผลไม้สดในตลาดสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

ข้อมูลการนำเข้าสินค้าผักและผลไม้สดในตลาดสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นผู้นำเข้าผักและผลไม้สดรายใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป (EU) และเป็นหนึ่งในตลาดใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีความต้องการบริโภคสูง เนื่องจากปริมาณผลิตเองได้จำกัด (สภาพภูมิอากาศและฤดูกาลสั้น), ความนิยมผลไม้เมืองร้อนและผักหลากหลายชนิดที่ปลูกในประเทศไม่ได้ และผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพและต้องการสินค้าออร์แกนิก/ยั่งยืนมากขึ้น ที่ผ่านมาเยอรมนีนำเข้าผักและผลไม้สดคิดเป็นมูลค่ากว่า 12–15 พันล้านยูโร/ปี โดยมีสัดส่วนกว่าใน ของการบริโภคผักและผลไม้ทั้งหมดในประเทศ มาจากการนำเข้า นอกจากนี้ เยอรมนียังนับเป็นประตูสำคัญของผักและผลไม้สดเข้าสู่ยุโรปเหนือและยุโรปกลาง

สำหรับสินค้านำเข้าหลัก จำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม กล่าวคือ 

  • ผลไม้ (1) กล้วย นำเข้าอันดับ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศในแถบลาตินอเมริกา เอกวาดอร์, โคลอมเบียคอสตาริกา (2) องุ่น, ส้มแอปเปิลกีวี่มะม่วงสับปะรดอะโวคาโด ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากสเปนอิตาลีแอฟริกาใต้เปรู ฯลฯ และ (3) ผลไม้เมืองร้อน (มะม่วงมะละกอลิ้นจี่เงาะ ฯลฯ) เป็นสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

  • ผัก (1) มะเขือเทศพริกหวานแตงกวาผักสลัด นำเข้าจำนวนมากจาก สเปนและเนเธอร์แลนด์ และ (2) หัวหอมแครอตกะหล่ำปลี เสริมจากประเทศรอบข้าง เช่น โปแลนด์ เบลเยียม

    ประเทศคู่ค้าสำคัญในตลาดผักและผลไม้สด ได้แก่ (1) สเปนเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ ของผักและผลไม้สด (โดยเฉพาะมะเขือเทศพริกหวานส้ม และองุ่น) (2) เนเธอร์แลนด์เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าของยุโรป (Re-Export Hub) (3) อิตาลี จำพวกผลไม้สด (องุ่นกีวี่ และแอปเปิล) (4) ประเทศในแถบลาตินอเมริกา (กล้วย, มะม่วง และสับปะรด) และ (5) แอฟริกาใต้ (องุ่นแอปเปิลส้ม)

  1. รายชื่อผู้นำเข้าผักและผลไม้สด

     

ชื่อบริษัท

ที่ตั้ง/เมือง

จุดเด่น / สินค้าหลัก / ลักษณะธุรกิจ

1. vanWylick Fruchtimport

เยอรมนี

นำเข้าและจัดจำหน่ายผักและผลไม้สด มีเครือข่าย Ripening & Distribution ทั่วเยอรมนีและยุโรป

2. FruitMasters Deutschland

Münster

รับผิดชอบการนำเข้าผลไม้จากซีกโลกใต้ (South America, South Africa, Oceania, India, China) สำหรับตลาดเยอรมนี

3. Früchte Adam GmbH

เยอรมนี

นำเข้าผลไม้และผักสดจากตุรกีสเปนเบลเยียมเนเธอร์แลนด์อิตาลีกรีซอุซเบกิสถานแอฟริกาใต้ละตินอเมริกาโมร็อกโกอียิปต์ ฯลฯ

4. FFC Fresh Fruit Company GmbH

Hamburg

นำเข้าและประสานงานการส่งออกผลไม้สำหรับเยอรมนีสวิตเซอร์แลนด์ออสเตรีย มีสินค้า Exotic, Citrus, Pipfruit, Stonefruit ฯลฯ

5. Global Fruit Point GmbH (FRUPO)

เยอรมนี

Importers  และ  Fruit Agents — เชี่ยวชาญด้าน  wholesale  จากต่างประเทศ

6. Zerres & Co. GmbH – Fruit Partners

เยอรมนี

ธุรกิจนำเข้าและค้าผลไม้อาหารสด มีบริการด้านการค้าและให้คำปรึกษาในอุตสาหกรรมผลไม้และผักสด

7. SB Frucht

Frankfurt wholesale market

ดำเนินการเป็นตลาดค้าส่งผลไม้และผักสด ส่งให้ผู้ค้าปลีก/ค้าส่งทั้งในเยอรมนีและตะวันออกกลาง

8. Asia Import-Export GmbH (Asia GmbH)

Krefeld

ผู้นำเข้า–ส่งออกผลไม้และผักสด มีประสบการณ์หลายปี จัดส่งไปทั่วยุโรป

9. Dazun GmbH

Hamburg

ผู้นำเข้าและค้าส่งผักผลไม้สด มีคลังสินค้าเก็บและแพ็กสินค้าในฮัมบวร์ก

 

นอกจากรายชื่อผู้นำเข้าสินค้าผักและผลไม้สดข้างต้นแล้ว ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เป็น SMEs/กลุ่มคนไทยที่อาศัยในยุโรปโดยเฉพาะเยอรมนีหลายรายที่ผันตัวเองนำเข้าสินค้าผักและผลไม้สดมายังตลาดเยอรมนี

  1. มาตรฐานสินค้ากฎระเบียบการนำเข้าที่ต้องปฏิบัติตาม

    1. กฎระเบียบของสหภาพยุโรป (EU Regulationsเยอรมนีในฐานะประเทศสมาชิก EU ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบร่วมกันทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย

    ด้านสุขอนามัยพืช (Plant Health) : Plant Health Regulation (EU 2016/2031) เป็นกฎหมายด้านสุขอนามัยพืชที่ออกมาเพื่อป้องกันศัตรูพืชรุกรานและรักษาความปลอดภัยทางการเกษตรของยุโรป ดังนั้น ผู้ส่งออกผักและผลไม้สดมายังเยอรมนีต้องปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่อง Phytosanitary Certificate และการตรวจสอบที่ด่านนำเข้า 
    ขอบเขตที่ครอบคลุม คือ พืชทุกชนิด (Plants), ผลิตภัณฑ์พืช (Plant Products) เช่น ผักและผลไม้สด, เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ และวัสดุปลูก เช่น ดิน, วัสดุเพาะปลูก ดังนั้นผักและผลไม้สดที่นำเข้าจากประเทศนอก EU ต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) จากหน่วยงานทางการของประเทศผู้ส่งออก[1] นอกจากนี้ กรณีที่เป็นสินค้าจำพวก High-Risk Plants & Products ที่ผ่านมา EU ได้จัดทำ “บัญชีสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง (High-Risk List)” ซึ่งสินค้าบางชนิด ห้ามนำเข้า เว้นแต่จะได้รับอนุญาตพิเศษ สำหรับการนำเข้าพืชชนิดใหม่ต้องผ่านการประเมินความเสี่ยงศัตรูพืช (หรือ Pest Risk Assessment : PRA)
    การตรวจสอบ ณ ด่านนำเข้า (Border Control Posts – BCPs) เจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารตรวจทางกายภาพและสุ่มตรวจหาแมลง/เชื้อโรค ในขณะที่การติดฉลากและการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) จะต้องระบุข้อมูลที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน
    ด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety)เกี่ยวข้องกับระเบียบ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ (1) General Food Law Regulation (EC 178/2002) สินค้าต้องปลอดภัยต่อการบริโภค ตรวจสอบย้อนกลับได้ (2) Maximum Residue Levels (MRLs) ภายใต้ Regulation (EC 396/2005) ต้องไม่เกินค่ามาตรฐานสารตกค้างของ EU และ (3) Regulation (EC 852/2004) ว่าด้วยสุขลักษณะอาหาร (Hygiene of Foodstuffs)
    General Food Law Regulation (EC 178/2002) เป็นกรอบกฎหมายด้านอาหารของสหภาพยุโรป (EU Food Law) ที่ประกาศใช้เมื่อปี 2002 โดยมีหลักการทั่วไป (General Principles) และ ข้อกำหนดพื้นฐาน (Requirements) เกี่ยวกับความปลอดภัยอาหารสำหรับทุกประเทศสมาชิก EU รวมทั้งเยอรมนี ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เป็นพื้นฐานที่ทำให้เกิด European Food Safety Authority (EFSA) ซึ่งทำหน้าที่ให้คำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ด้านความปลอดภัยอาหาร โดยมีหลักการสำคัญ (Key Principles) ครอบคลุม (1) ความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) โดยอาหารที่วางจำหน่ายใน EU ต้องปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งหากมีอาหารชนิดใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จะถูกห้ามจำหน่ายและอาจต้องถอนสินค้า (Recall) (2) การป้องกันและการจัดการความเสี่ยง (Risk Analysis) โดยจะทำการประเมินความเสี่ยง บริหารจัดการและสื่อสารความเสี่ยง ซึ่งทั้งหมดจะตัดสินใจต้องตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ (3) การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ผู้ประกอบการต้องสามารถระบุที่มาของสินค้าได้ (One Step Back) และปลายทางที่ส่งออกไป (One Step Forward) กล่าวคือ ต้องรู้ว่า “ซื้อวัตถุดิบจากใคร” และ “ขายต่อให้ใคร” ซึ่งหากพบปัญหาก็สามารถเรียกคืน (Recall) ได้รวดเร็ว (4) ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ (Operator Responsibility) ผู้ผลิตผู้นำเข้าผู้ค้าปลีก ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อความปลอดภัยของสินค้า ในขณะที่หน่วยงานรัฐมีหน้าที่ตรวจสอบ แต่ความรับผิดชอบหลักอยู่ที่ผู้ประกอบการ และ (5) หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle) โดยหากยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ  EU สามารถออกมาตรการควบคุมหรืองดนำเข้าสินค้าได้
    Maximum Residue Levels (MRLs) ภายใต้ Regulation (EC) 396/2005 เป็นกฎระเบียบที่สำคัญมากสำหรับผู้ส่งออกผักและผลไม้มายังตลาดเยอรมนีและ EU เพราะเกี่ยวข้องกับสารตกค้างจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร คำว่า “MRLs (Maximum Residue Levels)” หมายถึง ค่าปริมาณสารตกค้างสูงสุดของสารกำจัดศัตรูพืชที่อนุญาตให้มีในอาหารและอาหารสัตว์ ซึ่งจะกำหนดโดยสหภาพยุโรปเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และ กำหนดมาตรฐานการค้า การกำหนดปริมาณสารตกค้างจะใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น ค่า Acceptable Daily Intake (ADI) และ Acute Reference Dose (ARfD) โดยหากสินค้าเกษตร (ผัก/ผลไม้) มีสารตกค้างเกินค่า MRL ก็ถือว่า ไม่ปลอดภัยและผิดกฎหมาย อย่างไรก็ดี หากไม่มีการกำหนดค่าเฉพาะ จะใช้ค่า ค่าเริ่มต้น (Default MRL) ที่ 0.01 mg/kg สำหรับมาตรการนี้ครอบคลุมอาหารและอาหารสัตว์ทุกชนิดใน EU และเกี่ยวข้องกับสารกำจัดศัตรูพืช (Pesticides) กว่า 400 ชนิด และจะมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง ในด้านการตรวจสอบและบังคับใช้ พบว่า ผักและผลไม้สดที่นำเข้าเยอรมนีจะถูกสุ่มตรวจ (Sampling) ที่ Border Control Posts (BCPs) โดยหากตรวจพบสารตกค้างเกิน MRLs สินค้าอาจถูก (1) ปฏิเสธการนำเข้า หรือ (2) ส่งกลับประเทศต้นทาง หรือ (3) ทำลาย หรือ (4) แจ้งเตือนในระบบ RASFF (Rapid Alert System for Food and Feed) ของ EU
    Regulation (EC 852/2004) ว่าด้วยสุขลักษณะอาหาร (Hygiene of Foodstuffs) เป็นอีกหนึ่ง “กฎหมายพื้นฐาน” ของสหภาพยุโรปที่ผู้ส่งออกผักและผลไม้สดไปยังเยอรมนีต้องเข้าใจ เพราะเกี่ยวข้องกับ สุขลักษณะและความปลอดภัยของอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตขั้นต้น  การขนส่ง  การเก็บรักษา  การจำหน่าย ครอบคลุมอาหารทุกประเภท รวมถึง ผักและผลไม้สด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่า อาหารที่จำหน่ายใน EU มีความปลอดภัย ป้องกันการปนเปื้อนในอาหารจาก เชื้อโรคสารเคมีสิ่งแปลกปลอม และกำหนดให้ผู้ประกอบการ รับผิดชอบโดยตรง ต่อความปลอดภัยและสุขลักษณะของสินค้า สำหรับหลักการสำคัญครอบคลุม (1) การผลิตขั้นต้น (Primary Production) สินค้าเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ ต้องปลูกและเก็บเกี่ยวในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และต้องมีการควบคุมการใช้น้ำปุ๋ยสารเคมี เพื่อลดความเสี่ยงต่อผู้บริโภค (2) สุขลักษณะในการจัดการอาหาร (Hygiene Rules) กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติงาน (คนงานผู้บรรจุ) ต้องรักษาสุขอนามัย ในขณะที่โรงงาน/สถานที่บรรจุต้องสะอาด ถูกสุขลักษณะ และมีระบบควบคุมสัตว์พาหะ (3) การใช้ระบบ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point) ผู้ประกอบการอาหาร (รวมถึงผู้ส่งออก) ต้องประยุกต์ใช้หลักการ HACCP เพื่อควบคุมความเสี่ยง โดยการผลิตขั้นต้น (ฟาร์ม) ให้ใช้หลัก GAP (Good Agricultural Practice) และ GHP (Good Hygiene Practice) และ (4) การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ต้องสามารถระบุได้ว่าสินค้ามาจากไหน และถูกส่งไปที่ใด ในส่วนของการบังคับใช้กับสินค้าผักและผลไม้สด ครอบคลุม :

  • ฟาร์ม/ผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตาม GAP + GHP

  • โรงคัดบรรจุและคลังสินค้าต้องมีระบบ สุขลักษณะและ HACCP

  • ขณะส่งออกไปยังเยอรมนี ผู้นำเข้าจะตรวจสอบว่า โรงงาน/ฟาร์มมีมาตรฐานที่สอดคล้องกับ EC 852/2004 (Hygiene of Foodstuffs ที่เน้นกฎสุขลักษณะและ HACCP)

     

    ด้านมาตรฐานการตลาด (Marketing Standards)ภายใต้ Regulation (EU) 543/2011 คือ กฎหมายของสหภาพยุโรปที่กำหนด มาตรฐานการตลาด (Marketing Standards) สำหรับผักและผลไม้สด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่กรกฎาคม 2011จุดมุ่งหมายเพื่อให้สินค้าผักและผลไม้สดที่จำหน่ายในตลาด EU มีคุณภาพที่สม่ำเสมอ โปร่งใส และยุติธรรมต่อผู้บริโภค ขอบเขตของกฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมผักและผลไม้สดทั้งหมด โดยมี Specific Marketing Standards สำหรับสินค้า 10 ชนิดที่มีการค้าสูง ได้แก่ แอปเปิ้ล ส้ม กีวี่ สาลี่ พีชและเนกทารีน ส้มแมนดาริน (รวม Clementines และ Satsumas) องุ่นโต๊ะ สตรอว์เบอร์รี พริกหวาน (Sweet Peppers) และมะเขือเทศ ส่วนผักและผลไม้อื่น ๆ ต้องปฏิบัติตาม General Marketing Standards
    เนื้อหาหลักของมาตรฐานนี้ ครอบคลุม (1) คุณภาพ (Quality Classes) โดยแบ่งคุณภาพสินค้าออกเป็น Extra Class หรือสินค้าที่มีคุณภาพสูงสุดและมีความสมบูรณ์แบบ, Class I เป็นสินค้าคุณภาพดี อาจมีตำหนิเพียงเล็กน้อย และClass II เป็นสินค้าที่มีคุณภาพปานกลางและยอมให้มีตำหนิมากขึ้น (2) ความสดและลักษณะ สินค้าต้องสดใหม่, ปราศจากความเสียหาย (bruises, rot, pests) และสุกในระดับที่เหมาะสมต่อการบริโภค (3) การบรรจุ (Packaging) ต้องปกป้องสินค้าไม่ให้เสียหาย, วัสดุสัมผัสอาหารต้องสะอาดและปลอดภัยและห้ามบรรจุผักผลไม้คุณภาพต่างกันไว้ในบรรจุภัณฑ์เดียวกัน (4) การติดฉลาก (Labelling) ฉลากต้องมีข้อมูลอย่างน้อย ได้แก่ ประเทศต้นกำเนิด (Country of Origin) ชนิดและพันธุ์ (เช่น Mango “Nam Dok Mai”) เกรดคุณภาพ (Extra, I, II) และน้ำหนักสุทธิ หรือจำนวนหน่วยในบรรจุภัณฑ์ ประเด็นสำคัญหากต้องการเข้าสู่ซูเปอร์มาร์เก็ตเยอรมัน ต้องได้อย่างน้อย Class I หรือ Extra Class หากเป็น สินค้าออร์แกนิก ต้องมีตราสัญลักษณ์ EU Organic Logo ตาม Regulation (EU 2018/848)

  1. มาตรฐานภาคเอกชน (Private Standards) เป็นมาตรฐานที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหรือผู้นำเข้าเยอรมนี “กำหนดเพิ่มเติม” นอกเหนือจากข้อกำหนดตามกฎหมายของสหภาพยุโรป เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้ามีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ผู้บริโภคเยอรมันที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความยั่งยืน และความรับผิดชอบต่อสังคม สำหรับมาตรฐานเอกชนที่สำคัญในตลาดเยอรมนี (ในเบื้องต้น) ประกอบด้วย

    GLOBALG.A.P. (Good Agricultural Practice)เป็นมาตรฐานสากลด้านการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตในฟาร์ม  การเก็บเกี่ยว  การบรรจุ โดยเน้นในด้าน (1) ความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) (2) การใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง (3) การจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม และ (4) สวัสดิภาพแรงงาน ป้จจุบันมาตรฐานตัวนี้เป็นเกณฑ์ “บังคับ” สำหรับซูเปอร์มาร์เก็ตเกือบทั้งหมด เช่น REWE, EDEKA, Aldi, Lidl โดยถ้าไม่มี GLOBALG.A.P. ก็แทบจะเข้าสู่ห้างค้าปลีกไม่ได้เลย

    GRASP (GLOBALG.A.P. Risk Assessment on Social Practice) เป็นโมดูลเสริม (Add-on) ของ GLOBALG.A.P. โดยเน้นตรวจสอบความรับผิดชอบทางสังคม (Social Compliance) เช่น สิทธิแรงงาน เงื่อนไขการจ้างงาน และสุขภาพและความปลอดภัยแรงงาน ปัจจุบันมาตรฐานชนิดนี้ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายราย บังคับควบคู่กับ GLOBALG.A.P.

    Fairtrade, Rainforest Alliance มุ่งเน้นด้านความเป็นธรรมต่อเกษตรกรและแรงงาน โดย ราคาที่เป็นธรรมพัฒนาชุมชน ในขณะที่ Rainforest Alliance จะมุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น รักษาป่าไม้ลดสารเคมีปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับตลาดเยอรมนี มาตรฐานนี้ไม่ได้บังคับใช้ แต่เป็นจุดขาย” สำคัญ สินค้าที่มีเครื่องหมายเหล่านี้จะเป็นที่นิยมในผู้บริโภคที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม

    Organic (EU Organic + มาตรฐานเอกชนเช่น Bioland, Demeter) สำหรับ EU Organic ต้องปฏิบัติตามกฎ Regulation (EU) 2018/848 โดยห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์ปุ๋ยเคมี, GMO ในขณะที่ Bioland จะเน้นความยั่งยืนสูงกว่า EU Organic (เช่น การห้ามใช้ปุ๋ยบางประเภทที่ EU Organic อนุญาต) สำหรับ Demeter (มาตรฐานเอกชนเยอรมัน) มาตรฐานเกษตรชีวพลวัต (Biodynamic Farming) ที่เข้มงวดและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มพรีเมียม ปัจจุบันเยอรมนีเป็นตลาดออร์แกนิกใหญ่อันดับ ของยุโรป ถ้าสินค้าเป็น Organic จะได้ราคาสูงขึ้นและเข้าถึงตลาดเฉพาะ

    BRC Global Standard / IFS Food เป็นมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร (Food Safety Standards) ที่ใช้ในห่วงโซ่อุปทานและโรงงานแปรรูป โดย BRC (British Retail Consortium) จะเน้นระบบจัดการคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ในขณะที่ IFS (International Featured Standards) จะมีความคล้ายกับ BRC แต่พัฒนาจากสมาคมค้าปลีกเยอรมัน – ฝรั่งเศส โดยเน้น HACCP, ระบบบริหารความปลอดภัยอาหาร และการจัดเก็บและขนส่ง ปัจจุบันซูเปอร์มาร์เก็ตเยอรมัน (เช่น EDEKA, REWE) มักบังคับใช้กับซัพพลายเออร์ ที่มีโรงคัดบรรจุ/โรงงานแปรรูป สำหรับห่วงโซ่อุปทานและโรงงานแปรรูปTop of Form

Bottom of Form

  1. เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการนำเข้า ประกอบด้วย (1) Phytosanitary Certificate หรือใบรับรองสุขอนามัยพืช (2) Invoice & Packing List เอกสารการค้า (3) Bill of Lading (B/L) หรือ Air Waybill (AWB) – ใบตราส่งสินค้า (4) Certificate of Origin (CO) – ใบรับรองถิ่นกำเนิด (หากใช้สิทธิภาษี) และ (5) ใบรับรองมาตรฐานเสริม เช่น GLOBALG.A.P., Organic Certificate

  2. ข้อกำหนดในการติดฉลาก ผักและผลไม้นำเข้าจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบการติดฉลากของสหภาพยุโรป ได้แก่ (1) ชื่อและที่อยู่ของผู้บรรจุหีบห่อหรือผู้จัดส่ง (2) ชื่อและความหลากหลายของผลิตผล (3) ประเทศต้นทาง (4) ชั้นและขนาด (อ้างอิงถึงมาตรฐานการตลาด) และ (5) หมายเลขล็อตสำหรับการตรวจสอบย้อนกลับ

    ผักหรือผลไม้ที่ถูกแปรรูปหรือบรรจุเพื่อการบริโภคโดยตรง ต้องติดฉลากที่เหมาะสมสำหรับผู้บริโภค ประกอบด้วย (1) ชื่อสามัญของผลิตภัณฑ์ (2) ชื่อเต็มของประเทศต้นทาง (3) ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต ผู้บรรจุหีบห่อ ผู้นำเข้า เจ้าของแบรนด์หรือผู้ขาย (ผู้ค้าปลีก) ในสหภาพยุโรปที่วางผลิตภัณฑ์ในตลาด และข้อความ “packed for” (ถ้ามี) (4) ปริมาณสุทธิเป็นน้ำหนัก (5) ควรบริโภคก่อน (สำหรับผักและผลไม้แปรรูปทั้งหมด) (6) รหัสผู้ผลิตหรือหมายเลขล็อต (7) รายชื่อส่วนผสม (ถ้ามี) รวมถึงสารเติมแต่งและการบำบัดหลังการเก็บเกี่ยว (8) ประกาศเกี่ยวกับภูมิแพ้ (ถ้ามี) (9) การแสดงคุณค่าทางโภชนาการ (เมื่อผสมกับอาหารชนิดอื่น) (10) บรรจุในบรรยากาศป้องกัน (ถ้ามีและ (11) ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระดับคุณภาพ ขนาด พันธุ์ หรือประเภททางการค้า และการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวบนฉลากผลิตภัณฑ์หรือในบริเวณใกล้เคียง (บนชั้นวาง) สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานการตลาดเฉพาะ[2] เป็นต้น

 

  1. พฤติกรรมผู้บริโภค สภาพการแข่งขัน โอกาสและความท้าทายของสินค้าไทย ข้อควรระวัง ตลอดจนคำแนะนำการเข้าสู่ตลาด

    พฤติกรรมผู้บริโภค (1)มีความใส่ใจเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยอาหารสูง (2) ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ (3) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และสวัสดิภาพแรงงาน (4) มักอ่านฉลากสินค้าอย่างละเอียด โดยต้องโปร่งใสและชัดเจน และ (5) ชื่นชอบการซื้อสินค้าที่มีมาตรฐานรับรอง (เช่น Organic, Fairtrade, GLOBALG.A.P.)

    แนวโน้มการบริโภคผักและผลไม้ ปรากฏว่า เยอรมนีมีอัตราการบริโภคผักและผลไม้สูงกว่าค่าเฉลี่ยยุโรป โดยผลไม้ที่นิยม อาทิ กล้วย, แอปเปิลส้มองุ่นกีวี่มะม่วง และอะโวคาโด ในขณะที่ ผักที่นิยม อาทิ มะเขือเทศแตงกวาพริกหวานกะหล่ำแครอต และผักสลัด สำหรับความต้องการผลไม้เมืองร้อน (Tropical Fruits) เช่น มะม่วง มะละกอ สับปะรด เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อสินค้า มีด้วยกัน 5 ปัจจัย ได้แก่ (1) คุณภาพและความสดใหม่ โดยผู้บริโภคเยอรมันยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อสินค้าที่สด สวยงาม และได้คุณภาพ (2) ราคา แม้สนใจคุณภาพ แต่ก็ยังมีความอ่อนไหวต่อราคา โดยห้างสรรพสินค้าจำพวกดิสเคาน์เตอร์ (เช่น Aldi, Lidl) ได้รับความนิยมสูง (3) มาตรฐานและการรับรอง (Certifications) ไม่ว่าจะเป็น Organic, Fairtrade, Rainforest Alliance มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก (4) บรรจุภัณฑ์และสิ่งแวดล้อม โดยนิยมบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ / ลดพลาสติก และกระแส “Zero Waste” และ “Plastic-free” กำลังเติบโต และ (5) ความสะดวกสบาย (Convenience) ชื่นชอบสินค้าประเภท พร้อมทาน (Ready-to-eat) เช่น ผลไม้หั่นบรรจุถ้วยสลัดพร้อมปรุง

    ช่องทางการซื้อหลัก ได้แก่ (1) ซูเปอร์มาร์เก็ตเชนใหญ่ อาทิ EDEKA, REWE, Kaufland ซึ่งเน้นคุณภาพและความหลากหลาย (2) ห้างดิสเคาน์เตอร์ อาทิ Aldi, Lidl จะเน้นราคาประหยัดแต่คุณภาพต้องได้มาตรฐาน (3) ตลาดสดและตลาดค้าส่ง (Wochenmarkt / Großmarkt) ผู้บริโภคบางกลุ่มนิยมซื้อผลไม้สดตามฤดูกาล (4) Organic stores & chains: เช่น Alnatura, Denn’s Biomarkt กำลังเติบโตเร็วตามความนิยมสินค้าออร์แกนิก และ (5) ออนไลน์การซื้อผักผลไม้ออนไลน์ยังไม่ใหญ่เท่าอาหารแห้ง แต่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง

    แนวโน้มสำคัญ (Trends) ประกอบด้วย (1) สุขภาพและ Well-being: มองหาผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง (เช่น Superfoods) (2) สินค้าออร์แกนิก โดยเยอรมนีเป็นตลาดออร์แกนิกใหญ่ที่สุดในยุโรป (2) ความยั่งยืน โดยคนเยอรมันเลือกสินค้าที่มีฉลาก Fairtrade, Rainforest Alliance, Carbon Neutral (3) สินค้าใหม่/แปลก ซึ่งผู้บริโภคเปิดกว้างต่อผลไม้เมืองร้อนจากเอเชีย แต่ต้องอธิบายวิธีบริโภคชัดเจน และ (4) ความสะดวก Demand สูงสำหรับผักผลไม้ที่บรรจุในรูปแบบ Ready-to-eat / Ready-to-cook

    สภาพการแข่งขันในตลาดผักและผลไม้สดของเยอรมนี โดยภาพรวมเยอรมนีเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของผักและผลไม้สดในยุโรป มูลค่ากว่า 12–15 พันล้านยูโรต่อปี แต่เป็นตลาดมีการแข่งขันสูง เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการสูงและเปิดกว้างต่อสินค้านำเข้า ในขณะที่ผู้เล่นในตลาดมีทั้งผู้ผลิตท้องถิ่นผู้ส่งออกจาก EU, และผู้ส่งออกนอก EU สำหรับ Supermarkets & Discounters (Aldi, Lidl, EDEKA, REWE) มีอำนาจต่อรองสูงมากและกำหนดมาตรฐานเข้มงวด

    ผู้เล่นหลักในตลาดจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) ผู้ผลิตท้องถิ่น (Domestic Producers) มักผลิตผักและผลไม้ตามฤดูกาล เช่น แอปเปิลเบอร์รีมันฝรั่งกะหล่ำ โดยผู้ผลิตกลุ่มนี้มักมีข้อได้เปรียบในเรื่อง ความสดใหม่และ Local Branding (“Regional Products”) แต่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตลอดปี จึงต้องพึ่งการนำเข้า (2) ผู้ส่งออกจาก EU (Intra-EU Suppliers) สเปนถือเป็นซัพพลายเออร์อันดับ 1 ของผักและผลไม้ อาทิ มะเขือเทศพริกหวานส้มองุ่น ในขณะที่ เนเธอร์แลนด์เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้า (Re-Export Hub) + ผลผลิตในโรงเรือน (Tomatoes, Cucumbers, Peppers) สำหรับอิตาลีกรีซโปแลนด์ เป็นผู้ผลิตผลไม้และผักตามฤดูกาล (แอปเปิลกีวี่องุ่นผักใบ) และ (3) ผู้ส่งออกนอก EU (Extra-EU Suppliers) ได้แก่ (1) ละตินอเมริกา (เอกวาดอร์โคลอมเบียคอสตาริกาเปรู) มักนำเข้ากล้วย, สับปะรด และมะม่วง (2) แอฟริกาใต้เป็นแหล่งนำเข้าองุ่นแอปเปิล และส้ม (3) อียิปต์โมร็อกโก เป็นแหล่งนำเข้าส้มมะเขือเทศ และผักฤดูหนาว และ (4) เอเชีย (รวมถึงไทย) ส่วนใหญ่เยอรมนีนำเข้า ผลไม้เมืองร้อน (มะม่วง, มะละกอมังคุดลำไย) ซึ่งปัจจุบันวางขายในตลาด Niche แต่มีการเติบโต

    ลักษณะการแข่งขัน จำแนกเป็นการแข่งขันใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การแข่งขันด้านราคา ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นดิสเคาน์เตอร์ (Aldi, Lidl) ที่มักจะกดราคาและกำหนดมาตรฐานคุณภาพสูง ดังนั้น ผู้นำเข้าต้องรักษาต้นทุนต่ำแต่คุณภาพสูง จึงเป็นแรงกดดันต่อผู้ส่งออก (2) การแข่งขันด้านมาตรฐานและคุณภาพ โดยมาตรฐาน GLOBALG.A.P. และ GRASP เป็นขั้นต่ำบังคับ มาตรฐานด้าน Organic, Fairtrade, Rainforest Alliance เป็นจุดขายเสริม และที่สำคัญซูเปอร์มาร์เก็ตบางรายเข้มงวดกว่า EU law (เช่น MRLs ต่ำกว่าเกณฑ์ EU) และ (3) การแข่งขันด้านซัพพลายเชน ปัจจุบันเนเธอร์แลนด์เป็น Hub กระจายสินค้าที่สำคัญทำให้คู่แข่งที่ส่งสินค้าผ่านเนเธอร์แลนด์เข้ามาแข็งแกร่ง ในขณะที่ ระบบโลจิสติกส์ต้องรวดเร็ว ควบคุมอุณหภูมิ (Cold chain) ได้ดี

    แนวโน้มการแข่งขัน จะพบว่า ตลาด Organic & Sustainable เติบโต โดยมักจะแข่งขันกันสร้าง “ภาพลักษณ์ความยั่งยืน” ในขณะที่ปัจจุบันผู้บริโภคเปิดรับผลไม้เมืองร้อนมากขึ้น แต่มีการแข่งขันจากละตินอเมริกาและแอฟริกาที่ได้เปรียบด้านปริมาณและต้นทุน สำหรับตลาด Ready-to-eat / Convenience food มีการแข่งขันสูงขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีนวัตกรรมการบรรจุและความสะดวก

    โอกาสและความท้าทายของสินค้าไทย สำหรับจุดแข็ง–จุดอ่อนของผู้ส่งออกนอก EU (เช่น ไทย) กล่าวคือ (1) จุดแข็ง คือ มีสินค้าเฉพาะ (Exotic / Tropical Fruits) ที่สร้างความแตกต่าง และคุณภาพรสชาติของผลไม้ไทย (เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้มังคุด) ได้รับการยอมรับ สำหรับ (2) จุดอ่อน ได้แก่ ต้นทุนโลจิสติกส์สูง (ขนส่งไกล), ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน EU ที่เข้มงวด (MRLs, Hygiene, Marketing Standards) และปริมาณการส่งยังไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับละตินอเมริกา

    โอกาส (Opportunities) ของสินค้าไทยประกอบด้วย (1) ความต้องการผลไม้เมืองร้อนสูงขึ้น ซึ่งผู้บริโภคเยอรมันสนใจผลไม้เมืองร้อน เช่น มะม่วง, มังคุดลำไยมะละกอสับปะรด ประกอบกับสินค้าไทยมีรสชาติและคุณภาพเป็นที่ยอมรับ เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง (2) ตลาดออร์แกนิกใหญ่ที่สุดในยุโรป (3) กลุ่มผู้บริโภคพรีเมียมและสุขภาพ โดยผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยอมจ่ายแพงขึ้นสำหรับสินค้าคุณภาพสูง, Exotic, Traceable ซึ่งสินค้าจากไทยสามารถสร้าง “เรื่องราว” เช่น ผลผลิตท้องถิ่น, เกษตรยั่งยืน (4) สินค้าเฉพาะ (Niche market) โดยผลไม้แปลกใหม่หรือเฉพาะถิ่นเอเชีย เช่น มังคุด, ลำไยเงาะ มักเป็นสินค้าที่มีคู่แข่งน้อยในตลาดเยอรมัน ในขณะที่ สินค้าแปรรูปสด เช่น ผลไม้พร้อมทาน (Cut Fruit, Ready-to-Eat) ก็กำลังได้รับความนิยม และ (5) ความสัมพันธ์การค้าไทย–EU ที่ดี โดยมีการเจรจา FTA ไทย–EU (ถ้าสำเร็จจะช่วยลดภาษี) และผู้ค้าปลีกเยอรมันสนใจขยายซัพพลายเชนไปเอเชียมากขึ้น

    ความท้าทาย (Challenges) ประกอบด้วย (1) มาตรฐาน EU เข้มงวดมาก โดยหากสินค้าไทยไม่ผ่านมาตรฐานก็จะถูกปฏิเสธส่งกลับหรือทำลาย (2) ต้นทุนโลจิสติกส์สูง เนื่องจากระยะทางไกล ในขณะที่หากขนส่งทางอากาศก็มีราคาแพงจึงทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบด้านราคา และหากการขนส่งทางเรือใช้เวลานาน ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อคุณภาพและความสด (3) การแข่งขันรุนแรงจากคู่แข่งหลัก อาทิ ละตินอเมริกา (เอกวาดอร์เปรูโคลอมเบีย) มีต้นทุนต่ำ, ปริมาณใหญ่ ในขณะที่สเปนและเนเธอร์แลนด์ได้เปรียบด้านโลจิสติกส์และการผลิตในโรงเรือน (4) มาตรฐานเอกชนเข้มงวดทำให้ผู้ส่งออกไทยต้องลงทุนสูงในการปรับตัว และ (5) การรับรู้ของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคเยอรมันยังไม่คุ้นเคยกับผลไม้ไทยบางชนิด (เช่น ลำไย, เงาะ) ต้องมีการทำตลาดและให้ข้อมูลการบริโภค

  2. ข้อควรระวังและคำแนะนำการเข้าสู่ตลาด

    ข้อควรระวัง (Precautions)

    กฎระเบียบ EU เข้มงวดมาก ซึ่งจะต้องปฏิบัติตาม Plant Health, Food Safety, MRLs, Hygiene, Marketing Standards อย่างเคร่งครัด โดยหากไม่ผ่าน สินค้าอาจถูกปฏิเสธ กักกัน หรือทำลาย

    สารตกค้างเกินมาตรฐาน (MRLs) เป็นสาเหตุหลักที่สินค้าถูกตีกลับ ดังนั้นควรตรวจสอบสารตกค้างก่อนส่งทุกครั้ง

    มาตรฐานเอกชนเข้มกว่ากฎหมาย GLOBALG.A.P. และ GRASP มักเป็นข้อบังคับในขณะที่ ซูเปอร์มาร์เก็ตบางรายกำหนดค่า MRLs ต่ำกว่า EU (30–50% ของค่าอนุญาต)

    โลจิสติกส์และความสด โดยหากขนส่งไกลต้องใช้เวลานาน ย่อมเสี่ยงต่อการสูญเสียคุณภาพ ในขณะที่หากขนส่งทางอากาศ แม้จะเร็วกว่า แต่มีต้นทุนสูง จึงต้องวางแผนเลือกตลาดและสินค้าให้เหมาะสม

    การแข่งขันสูง โดยคู่แข่งจากละตินอเมริกาและสเปน/เนเธอร์แลนด์ได้เปรียบด้านต้นทุนและโลจิสติกส์ ดังนั้นสินค้าไทยต้องหาจุดขายที่แตกต่าง

    พฤติกรรมผู้บริโภคเยอรมันพิถีพิถัน โดยให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ฉลากแหล่งที่มาเรื่องราวสินค้า ซึ่งหากขาดข้อมูลหรือสื่อสารไม่ชัดเจน สินค้าอาจไม่ดึงดูดใจ

    คำแนะนำ (Recommendations)

    ยกระดับมาตรฐานการผลิต โดยทำ GLOBALG.A.P. และ GRASP เป็นขั้นต่ำ และหากเป็นสินค้า Organic ก็จะได้เปรียบมากในตลาดเยอรมัน (ใหญ่ที่สุดในยุโรป)

    ตรวจสอบคุณภาพและสารตกค้างก่อนส่งออก ควรใช้ห้องแล็บที่ได้มาตรฐานสากล และทำ Certificate of Analysis (COA) แนบมากับสินค้า

    พัฒนาบรรจุภัณฑ์และฉลาก โดยต้องระบุ Country of Origin, Variety, Class, Weight ตาม Regulation (EU 543/2011) และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม / ลดพลาสติก  ตรงใจผู้บริโภค

    เลือกกลยุทธ์ตลาดที่เหมาะสม โดยเจาะตลาด Premium & Organic มากกว่าตลาด Mass เพื่อลดการแข่งขันด้านราคา และควรใช้จุดแข็ง “ผลไม้เมืองร้อนไทย” ที่แตกต่างจากคู่แข่ง

    สร้างพันธมิตรกับผู้นำเข้าเยอรมัน โดยค้นหาผู้นำเข้าที่เชี่ยวชาญสินค้าจากเอเชีย/ไทย และรักษา/สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงการถูกกดราคา

    เล่าเรื่องสินค้า (Product Storytelling) ผู้บริโภคเยอรมันสนใจเรื่อง ความยั่งยืนชุมชนวิธีการผลิต เช่น “มะม่วงน้ำดอกไม้จากชาวสวน GAP จังหวัดนครปฐม  ปลูกแบบลดสารเคมีเพื่อความยั่งยืน”

    ใช้เครื่องมือการตลาดดิจิทัล โดยทำการตลาดผ่าน Social Media, Online Store, Fair Trade Platforms และเน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมBottom of Form

 

  1. งานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องหรือกิจกรรมการตลาดที่ควรจะเข้าร่วม

    งานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้อง

 

ชื่องาน

สถานที่

จุดเด่น / เหมาะสำหรับ

ข้อควรพิจารณา

1. FRUIT LOGISTICA

เบอร์ลิน

งานที่ใหญ่ที่สุดของวงการ  Fresh Product ในยุโรป โดยครอบคลุมตั้งแต่การผลิตการจัดส่งการแปรรูปบรรจุภัณฑ์โลจิสติกส์ เหมาะสำหรับผู้ส่งออกที่ต้องการเจาะตลาดยุโรปหาผู้นำเข้าดูแนวโน้มสินค้าใหม่นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ มีโอกาสทำ Networking  สูงมาก  

ค่าบูทและค่าเดินทาง/ส่งสินค้า  Sample  ค่อนข้างแพง 
ต้องเตรียมสินค้าตัวอย่างเอกสาร, Packaging,  ฉลาก ให้พร้อมตามมาตรฐาน EU/มาตรฐานเอกชน

2. BIOFACH (งานเกี่ยวกับสินค้าออร์แกนิก)

นูเรมเบิร์ก

เหมาะสำหรับสินค้าที่ผลิตแบบ  Organic 
เป็นจุดนำเสนอสินค้าออร์แกนิกติดต่อ  Buyers  ที่เน้นตลาดออร์แกนิกแบรนด์ที่เน้นสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม มีผู้เข้าชมจากทั่วโลกในสาย Organic 

ถ้าสินค้ายังไม่ผ่านการรับรอง  Organic  อาจโดนจำกัดในโซนเฉพาะ ต้องมีเอกสารรับรองออร์แกนิกที่เป็นที่ยอมรับ (EU Organic, Bioland, ฯลฯ)

3. Anuga (Food & Beverage Fair)

โคโลญจน์

เป็นงานแสดงอาหารและเครื่องดื่มครอบคลุมหลายประเภท ถ้าผักหรือผลไม้สดของไทย แปรรูปหรือทำเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมทาน อาจเหมาะ โดยเหมาะสำหรับเจาะตลาดค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ต,ร้านอาหาร

งานไม่เฉพาะ  Fresh Produce อาจมีการแข่งขันสูง ต้องทำให้สินค้าโดดเด่นในกลุ่มกว้าง

4. Fruchtwelt

Friedrichshafen

งานเฉพาะสำหรับผลไม้-ผัก (Fruit & Vegetable Sector) เหมาะสำหรับดูแนวโน้มเทคโนโลยีการผลิต,บรรจุ,บรรจุภัณฑ์และหา  Buyer + Partner ในภาค  Fresh Produce 
ขนาดงานกลาง มุ่งเน้น Innovation  และ  Sustainability  มากขึ้น  

งานอาจเข้มข้นด้านเทคนิค/ผู้ซื้อภายในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ 
ถ้าตัวอย่างสินค้าไม่สอดคล้องตามมาตรฐานผู้ซื้อยุโรป คุณภาพอาจถูกมองข้าม

5. Berlin International Green Week (Internationale Grüne Woche)

เบอร์ลิน

งานใหญ่ของ  Agribusiness / Horticulture / Food Industries + มีส่วนประชาสัมพันธ์สูง 
เหมาะกับสินค้าที่มีจุดขาย “เกษตรยั่งยืน / Organic / Local origin” มีผู้เข้าชมจากผู้บริโภคทั่วไปด้วย เป็นการสร้างแบรนด์ (Brand Awareness) ได้ดี

งานนี้ไม่ได้เฉพาะ Fresh Produce เท่านั้น บูทอาจไม่เจาะตลาดเฉพาะเสมอ 
ต้องเตรียมทั้งเพื่อธุรกิจ  B2B  และ  B2C

6. Anuga FoodTec (เทคโนโลยีการผลิตอาหารบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ)

โคโลญจน์

ถ้าผลไม้หรือผักของไทย มีการแปรรูป / ใช้สายการผลิต / บรรจุภัณฑ์นวัตกรรม / ต้องการหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ / Sustainability ใน Supply Chain 
เหมาะสำหรับ  Partner  โรงบรรจุบริษัท  packaging, cold chain logistics เป็นต้น

ถ้าสินค้าสดเฉย ๆ ไม่ได้แปรรูปหรือเน้นบรรจุภัณฑ์ อาจประโยชน์น้อยกว่า 
ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยี, cost packaging

 

คำแนะนำสำหรับการเข้าร่วมงาน /กิจกรรมทางการตลาด

เลือกงานให้เข้ากับเป้าหมายสินค้าคุณ โดยถ้าสินค้าเป็นออร์แกนิก /Sustainability ก็ควรเน้นงาน BIOFACH, Green Week และหากเน้น Fresh Produce ปริมาณมาก /ซูเปอร์มาร์เก็ตยุโรป ควรเข้างาน Fruit Logistica ในขณะที่ ถ้าเน้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ /Supply Chain ควรเข้าร่วมงาน Anuga FoodTec

เตรียมสินค้าตัวอย่าง + เอกสารรับรองให้พร้อม โดยต้องมีฉลากภาษาอังกฤษหรือเยอรมัน และควรมี Certificates: GLOBALG.A.P., Organic Certificate, COA (Certificate of Analysis), Phytosanitary Certificate ฯลฯ นอกจากนี้ต้องเตรียมตัวอย่างสินค้า (Sample) ที่แสดงคุณภาพจริง

ออกแบบบูทและสื่อโฆษณาให้ดึงดูด มีภาพสินค้าที่ชัดเจน มี Storytelling ที่แสดงแหล่งผลิต, Sustainability, รสชาติ และควรให้ชิมถ้าเป็นไปได้

ใช้โอกาส Networking ให้เต็มที่ โดยนัดล่วงหน้ากับ Buyers/ Importers /Distributors เยอรมนีก่อนงาน โดยต้องเตรียมใบแนะนำบริษัท (Company Profile) ภาษาอังกฤษ/เยอรมัน และอาจมีการร่วมกิจกรรมประชุมย่อยเวิร์กช็อปภายในงาน

ศึกษากระแสตลาด/แนวโน้มนวัตกรรมภายในงาน โดยปัจจุบันสิ่งที่ผู้ซื้อสนใจตอนนี้ คือ Sustainability, Packaging ที่ลดพลาสติก, Convenience, Ready-to-Eat, Organic และควรสังเกตคู่แข่ง (Competitor) ประเทศอื่น ๆ ส่งอะไร, ราคาบูทจัดแสดงอย่างไร

ติดตามผลหลังงาน (Post-show follow-up) โดยเก็บ Contact จากผู้สนใจ หรือส่งสินค้าเสนอราคาหรือ Sample ตามที่ตกลง นอกจากนี้ควรตรวจสอบความต้องการเพิ่มเติม (เช่น Volume, ราคาที่รับได้, Logistic)

 

***********************************

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน

 

 

 


[1] สำหรับประเทศไทย คือ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

[2] “What requirements must fresh fruit or vegetables comply with to be allowed on the European market?,” CBI Ministry of Foreign Affairs.

อ่านข่าวฉบับเต็ม : ข้อมูลการนำเข้าสินค้าผักและผลไม้สดในตลาดสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

Login

ปิดโหมดสีเทา