การเจรจาการค้าระหว่างอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกายังไม่มีความคืบหน้า เพียงไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดไว้เพื่อให้บรรลุข้อตกลงทางการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีนำเข้าที่สูงลิ่วจาก ฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดอินโดนีเซียที่มีผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของโลกต้องปิดรับสินค้าจากอินโดนีเซีย จำนวนมาก
เมื่อถูกถามถึงสถานะของการเจรจาในขณะนี้ นายเอดี ปริโอ ปัมบูดี รองเลขาธิการสำนักงานรัฐมนตรีประสานงาน ด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์กับ The Jakarta Post เมื่อวันพุธว่า “อินโดนีเซียกำลังรอการตอบกลับ จากสหรัฐฯ”
วันพุธที่ผ่านมา ถือเป็นวันที่ 50 นับตั้งแต่รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ นายแอร์ลังคา ฮาร์ตาร์โต แถลงเมื่อวันที่ 18 เมษายนว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะสรุปการเจรจาภายในระยะเวลา 60 วัน โดยรัฐมนตรีฯ ได้แถลงข่าวดังกล่าวจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ขณะนำคณะผู้แทนระดับสูงเดินทางมาเจรจากับฝ่ายบริหาร ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 16–25 เมษายน จุดมุ่งหมายหลักคือเพื่อหลีกเลี่ยง ภาษีนำเข้าสูงจากสหรัฐฯ ต่อสินค้าส่งออกของอินโดนีเซีย และสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่ “เป็นธรรมและ โปร่งใส”
ภาษีนำเข้าแบบ “ตอบโต้เท่าเทียม” ในอัตรา 32% สำหรับสินค้าจากอินโดนีเซียเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน แต่ถูกระงับไว้ชั่วคราวภายในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจา แบบทวิภาคี
นายเอดี กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยติดตามภายหลังจากภารกิจการค้าในครั้งแรกของอินโดนีเซียแล้ว แต่ยอมรับว่ากรอบเวลา 60 วันที่เคยตกลงกันไว้นั้นอาจไม่แน่นอน เพราะ “ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าประธานาธิบดี ทรัมป์ จะตัดสินใจอย่างไร” เขากล่าวเสริมว่า “เราต้องรอสหรัฐฯ เป็นฝ่ายกำหนดกรอบเวลา ตอนนี้ลูกบอล อยู่ในสนามของสหรัฐฯ”
สหรัฐฯ ให้เหตุผลเรื่องการขาดดุลการค้าเป็นข้ออ้างในการเก็บภาษีในอัตราสองหลักต่อสินค้าจากหลายสิบประเทศ
ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย กล่าวเมื่อวันที่ 7 เมษายนว่า อินโดนีเซียพร้อมที่จะนำเข้าสินค้า จากสหรัฐฯ เพิ่มเติมอีก 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อปรับสมดุลการค้าทวิภาคี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนว่า มูลค่าสินค้าส่งออกของอินโดนีเซียไปยังสหรัฐฯ สูงกว่าการนำเข้าจากสหรัฐฯ ข้อเสนอการนำเข้าดังกล่าว ถือเป็นหัวใจสำคัญ ของข้อแลกเปลี่ยนที่คณะผู้แทนของอินโดนีเซียนำเสนอ บนโต๊ะเจรจา
นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังเสนอให้มีการลดภาษีเฉพาะสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ พร้อมกับแพ็กเกจผ่อนคลาย กฎระเบียบ เพื่อเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ ในอินโดนีเซีย เช่น การลดข้อบังคับด้านสัดส่วน เนื้อหาท้องถิ่น และการยกเลิกโควตาการนำเข้าสินค้าบางรายการ ฝ่ายอินโดนีเซียยังเสนอการลงทุน ของบริษัทเอกชนสัญชาติอินโดนีเซียชื่อ Indorama ในโครงการแอมโมเนียสีน้ำเงิน มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ ในรัฐลุยเซียนาของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นแนวทาง “วิน–วิน” ในการเจรจา แม้ว่าการลงทุนดังกล่าวจะไม่ได้เป็น ของรัฐบาลก็ตาม
ในวันที่ 25 เมษายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเยือน นายแอร์ลังคา กล่าวว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ให้การตอบรับอย่างดีต่อ “ยุทธศาสตร์และแนวทาง ตลอดจนข้อเสนอที่อินโดนีเซียเสนอไป” เขาเสริมว่า อินโดนีเซียสามารถดึงดูด ความสนใจจากสหรัฐฯ ได้สำเร็จในช่วงเวลาที่ประเทศอื่นๆ หลายสิบประเทศก็กำลังพยายามเจรจาเพื่อรักษาการ เข้าถึงตลาดสหรัฐฯ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังคงสงวนท่าทีเกี่ยวกับความคืบหน้าของการเจรจาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และทั้งสองฝ่าย ก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ขณะที่สหราชอาณาจักรซึ่งเป็นประเทศเดียวที่สามารถ ตกลงกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนนับจากวันที่ทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้ดังกล่าว
ภายใต้ช่วงระยะเวลาระงับการเก็บภาษี 90 วัน การจัดเก็บภาษีจะกลับมาดำเนินการอีกครั้งในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนในการเจรจา
นายวิน ชอง เชียะห์ นักวิเคราะห์จากหน่วยข่าวกรองเศรษฐกิจ (Economist Intelligence Unit: EIU) ให้สัมภาษณ์กับ The Jakarta Post เมื่อวันพุธว่า การเจรจาทางการค้ามีความคืบหน้าช้ามาก แม้กระทั่งกับประเทศ คู่ค้าที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ “เราคิดว่าไม่น่าจะมีข้อตกลงกับอินโดนีเซียได้ทันก่อนเส้นตาย 90 วัน” เขากล่าว
เขากล่าวต่อว่า “ความล่าช้าบ่งชี้ว่าอินโดนีเซียไม่ได้เป็นลำดับความสำคัญในขณะนี้” โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์ด้านภูมิรัฐศาสตร์หรือการค้าขนาดใหญ่ ข้อตกลงกับอินโดนีเซียจึงอาจไม่เร่งด่วน อย่างไรก็ตาม นายเชียะห์คาดว่าสหรัฐฯ น่าจะขยายเวลาการระงับภาษีออกไป และชื่นชมกลยุทธ์ของอินโดนีเซีย ในการเดินหน้าเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการค้ากับสหรัฐฯ ที่อาจลดลง
นายมูฮัมหมัด ฮาบิบ นักวิจัยเศรษฐกิจจากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติ (CSIS) ในกรุงจาการ์ตา ให้สัมภาษณ์ว่า หากท้ายที่สุดสหรัฐฯ ดำเนินการเก็บภาษี 32% กับอินโดนีเซียจริง ก็มีแนวโน้มว่าจะเก็บภาษี กับประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน “ผมคิดว่าการยกเลิกภาษีทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ แพ้คดีในศาล สูงสุด” ฮาบิบกล่าว
“เราควรมีความยืดหยุ่นในท่าทีของเรา แต่ก็ต้องยึดหลักการให้ชัดเจน ในบางประเด็น ผมเห็นด้วยที่เราควรเสนอ ข้อแลกเปลี่ยน แต่ต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการอะไรจากสหรัฐฯ หลักการของเราคืออะไร และข้อเสนอของเรา ควรมีขอบเขตแค่ไหน” เขาเสริม
นายฮาบิบกล่าวต่อว่า ข้อดีของสถานการณ์ที่ประเทศอื่นได้ผลประโยชน์มากกว่าหรือเท่ากับอินโดนีเซีย จากการเจรจา คือการที่อินโดนีเซียจะต้องเร่งปรับปรุงระบบการค้า อุตสาหกรรม การลงทุน และนวัตกรรม ภายในประเทศให้ดียิ่งขึ้น เพราะ “ความสามารถในการแข่งขันของเรานั้นเริ่มต้นที่บ้านเราเอง”
ความคิดเห็นของสำนักงานฯ
การเจรจาการค้าระหว่างอินโดนีเซียกับสหรัฐอเมริกายังคงไม่มีความคืบหน้า แม้จะใกล้ครบกำหนด 60 วันที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้เพื่อหาข้อยุติในการหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ในอัตรา 32% จากฝั่งสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากอินโดนีเซีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออกของอินโดนีเซีย อินโดนีเซียได้พยายามเสนอแนวทางประนีประนอมหลายด้าน ทั้งการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ การลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบให้กับบริษัทอเมริกัน และการชูแผนการลงทุนโดยเอกชนอินโดนีเซียในสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าแบบเป็นธรรมและโปร่งใส อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังไม่ตอบรับอย่างเป็นทางการ และท่าทีที่ไม่แน่นอนของประธานาธิบดีทรัมป์ทำให้กรอบเวลาเจรจาไม่มีความชัดเจน ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่าอินโดนีเซียไม่ใช่ลำดับความสำคัญเร่งด่วนของสหรัฐฯ และอาจไม่ได้รับข้อตกลงทันภายในเวลาที่กำหนด แม้มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะขยายระยะเวลาระงับภาษีออกไป แม้อินโดนีเซียจะมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ แต่ก็ยังคงพึ่งพาตลาดส่งออกเช่นสหรัฐฯ การเจรจาที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนจึงอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ
อ่านข่าวฉบับเต็ม : การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซียอยู่ในสภาวะไม่แน่นอน